Display mode (Doesn't show in master page preview)

27 เมษายน 2561

เศรษฐกิจต่างประเทศ

ประชุมเฟดรอบ 1-2 พ.ค. 61 คาดเฟด ‘คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50-1.75%’”...ติดตามทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (มองเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3739)

คะแนนเฉลี่ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมรอบสามของปีนี้ เพื่อรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดจนความเสี่ยงจากประเด็นข้อพิพาทการค้า โดยภายใต้สถานการณ์ที่สหรัฐฯ มีความพยายามที่จะปรับลดการขาดดุลการค้ากับหลายๆ ประเทศ อาจส่งผลให้โอกาสที่สหรัฐฯ จะขยายการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารายการอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่อาจจะมีผลบังคับใช้ในปลายเดือนพฤษภาคม 2561 หากการเจรจาในการปรับลดการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งประเด็นดังกล่าว อาจจะส่งผลให้พัฒนาการของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ อาจจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว อันคงเป็นปัจจัยที่เฟดคงจับตามองอย่างใกล้ชิด

             ปัจจัยที่ต้องติดตามคงได้แก่ การประกาศแผนการบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ที่อาจเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลให้มีโอกาสปรับสูงขึ้นได้ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ระดับ 3.0% โดยปรับตัวขึ้นประมาณ 0.7% จากช่วงต้นปี  2561 อันสะท้อนมุมมองที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสที่จะปรับขึ้นมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี ปัจจัยด้านอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะทยอยปรับเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก อันอาจจะสร้างความผันผวนรอบใหม่ให้กับตลาดการเงิน ตลอดจน กดดันให้ต้นทุนทางการเงินทั่วโลกมีโอกาสที่จะทยอยปรับตัวขึ้นตาม

          สำหรับผลต่อประเทศไทย ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ที่กว้างขึ้นส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอยู่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้มีเงินทุนบางส่วนไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร และมีส่วนช่วยให้ค่าเงินบาททยอยปรับอ่อนค่าลง ทั้งนี้ ต้นทุนทางการเงินของไทยโดยเฉพาะการระดมทุนในตลาดทุนอาจจะมีต้นทุนที่ทยอยขยับเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่อาจะสร้างความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายคงมีมากขึ้นในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศน่าจะยังสามารถทรงตัวในระดับปัจจุบัน ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่คงจะทรงตัวอีกระยะ ดังนั้น ภาคธุรกิจจะต้องมีการวางแผนในการระดมเงินทุน หรือมีการปรับโครงสร้างของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ให้มีระยะเวลายาวนานขึ้น เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินในช่วงที่ต้นทุนในการระดมทุนยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


เศรษฐกิจต่างประเทศ