ผลการประชุม ASEAN Summit 2019 ที่ผ่านมา มีแผนผลักดันกรอบความตกลง RCEP ให้ได้บทสรุปภายในปี 2562 ซึ่งไทยควรใช้โอกาสในการเป็นประธานอาเซียนปีนี้ ในการเป็นตัวกลางการไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้การเจรจากรอบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) มีความคืบหน้าจนบรรลุแผนการเปิดเสรี ทั้งนี้ สมาชิก RCEP ประกอบด้วยอาเซียนและคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศ หรือ Plus 6 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเจรจา RCEP เป็นไปอย่างล่าช้านั้น ประเด็นหลักคงอยู่ที่การเปิดตลาดระหว่างประเทศ Plus 6 ที่เดิมยังไม่มี FTA ระหว่างกัน โดยการจะปลดล็อคปัญหาใหญ่ที่ RCEP เผชิญอยู่สามารถทำได้ 1) การกำหนดกรอบเวลาในการเริ่มเปิดเสรีที่ยืดหยุ่นได้ให้แก่บางประเทศที่ยังไม่พร้อมเพื่อให้มีช่วงเวลาในการปรับตัว 2) การกำหนดเงื่อนไขเฉพาะให้แก่สินค้าที่แต่ละประเทศมีความกังวล อาทิ การกำหนดเงื่อนไขที่ใช้กันทั่วไป โดยการกำหนดรายการสินค้าอ่อนไหว/อ่อนไหวสูงที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ และมีช่วงเวลาปรับลดอัตราภาษีที่ยาวนานขึ้น หรือการกำหนดเงื่อนไขเฉพาะ โดยใช้การกำหนดเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin: ROO) ที่ซับซ้อนมาเป็นตัวช่วยปกป้องธุรกิจในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แนวทางการเจรจาข้างต้นคงต้องขึ้นอยู่กับความเห็นของสมาชิก RCEP ซึ่งทางการไทยอาจต้องทำงานหนักในการขับเคลื่อนการเจรจาอย่างจริงจังและต่อเนื่องตลอดปี
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเปิดเสรี RCEP จะยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จของการรวมตัวทางการค้าเสรีแบบพหุภาคีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการค้าเสรีโลกที่กำลังถูกบั่นทอนจากสงครามการค้าในขณะนี้ โดยอานิสงส์ที่ตามมาในระยะเริ่มแรก ประเทศ Plus 6 จะได้ประโยชน์ในการเข้าถึงตลาดของกันและกัน จากเดิมที่ไม่เคยมี FTA ร่วมกันมาก่อน ซึ่งการลดกำแพงภาษีของ RCEP จะเอื้อประโยชน์ทางตรงต่อการส่งออกสินค้าไทยค่อนข้างจำกัด เพราะไทยได้เปิดเสรีการค้ากับ 16 ประเทศไปแล้ว ขณะที่ผลบวกทางอ้อมจะทำให้สินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตในกลุ่มเดิมเติบโตตามไปด้วย สำหรับในระยะต่อไป RCEP จะส่งผลให้เกิดการจัดสรรการผลิตและการลงทุนในภูมิภาคครั้งใหม่ ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของทางการไทยที่ต้องเร่งสร้างแรงดึงดูดด้านการลงทุนเพื่อให้เกิดการต่อยอดจากการลงทุนในอุตสาหกรรมดั้งเดิมในไทยไปสู่เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งดึงดูดการลงทุนระลอกใหม่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ก่อนที่ไทยจะสูญเสียโอกาสเหล่านี้ไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น