หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์สึนามิมาได้ประมาณ 1 ปี ภูเก็ตก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยุโรป ทั้งนี้เนื่องจากชื่อเสียงของภูเก็ตซึ่งเป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้นในตลาดท่องเที่ยวโลกหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิซึ่งมีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก และการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในอันดามันอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชน
ภูเก็ตมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่เกื้อหนุนด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการที่ภูเก็ตมีแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่สวยงาม และมีค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลในประเทศอื่นๆ และมีการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังภูเก็ตทางเครื่องบินเพิ่มขึ้นจำนวนมากในแต่ละปี นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดท่องเที่ยวภูเก็ตให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ได้แก่
- การขยายการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรมของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งการขยายตัวของเชนบริหารโรงแรมชั้นนำระดับโลกเข้ามาในภูเก็ตจำนวนมาก
- ราคาอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังถูกกว่าในประเทศต่างๆ เช่น สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส 3-4 เท่าตัว จึงดึงดูดชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงจากยุโรปจำนวนมากให้หันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตเพื่อลงทุนและเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ
-การขยายบริการรับบริหารด้านการขายและการตลาดให้กลุ่มโรงแรมไทยของกลุ่มบริหารโรงแรมต่างประเทศ โดยเน้นโรงแรมตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทยซึ่งรวมทั้งภูเก็ต ช่วยขยายตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของภูเก็ตให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
- การขยายตัวของธุรกิจไทม์แชร์ริ่งตามเมืองท่องเที่ยวชายทะเลในประเทศไทย ซึ่งเริ่มพัฒนาไปในรูปแบบการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แบบสัดส่วน (Fractional Ownership) เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยเพื่อตากอากาศแต่ไม่ได้มาอยู่ตลอดทั้งปี มีส่วนสำคัญที่กระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดท่องเที่ยวของภูเก็ต
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่าในปี 2551 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังภูเก็ตรวมทั้งสิ้นประมาณ 5.6 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2550 และมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดเม็ดเงินรายได้ท่องเที่ยวสะพัดสู่ธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องในภูเก็ตคิดเป็นมูลค่าประมาณ 110,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2550 รายได้ด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ตส่วนใหญ่กระจายสู่ธุรกิจสำคัญๆ ดังนี้
- ธุรกิจด้านที่พัก เม็ดเงินร้อยละ 28 หรือประมาณ 31,000 ล้านบาทมีแนวโน้มสะพัดสู่ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตในภูเก็ต ที่มีอยู่ประมาณกว่า 630 แห่งซึ่งมีห้องพักรวมกันประมาณ 38,000 ห้อง
- ธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม เม็ดเงินร้อยละ 17 หรือประมาณ 19,000 ล้านบาทมีแนวโน้มสะพัดสู่ภัตตาคารและร้านอาหารในภูเก็ต
- ธุรกิจด้านการจับจ่ายซื้อสินค้า เม็ดเงินร้อยละ 16 หรือประมาณ 17,000 ล้านบาทมีแนวโน้มสะพัดสู่ร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกนักท่องเที่ยว รวมทั้งร้านจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายและผ้าบาติก ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอยมุก ผลิตภัณฑ์จากดีบุก และสินค้าประเภทหัตถกรรมต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารพื้นบ้าน
- ธุรกิจด้านบันเทิงและนันทนาการ เม็ดเงินร้อยละ 13 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาทมีแนวโน้มสะพัดสู่ธุรกิจบริการประเภทสถานบันเทิงเริงรมย์ บริการด้านกีฬา อาทิ ดำน้ำ และกอล์ฟ บริการด้านสุขภาพ รวมทั้งสปาและนวดแผนไทย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่การท่องเที่ยวภูเก็ตมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้ามายังภูเก็ตในแต่ละปี ก่อให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆตามมา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนไม่ควรละเลย เพราะปัญหาเหล่านี้นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ และมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวระดับโลกของภูเก็ต โดยเฉพาะปัญหาการบุกรุกที่ดินและทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาเรื่องมลพิษทั้งขยะและน้ำเสีย ปัญหาสาธารณูปโภคไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำประปา และบริการด้านการรักษาพยาบาลของภาครัฐ และปัญหาต่างๆบนหาดป่าตองในช่วงฤดูท่องเที่ยว ทั้งปัญหาไม่มีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว และรถเช่าจอดเต็มข้างถนน ปัญหาความไม่เป็นระเบียบของผู้ประกอบการเตียงร่ม และกลุ่มหิ้วกระติกน้ำขายเครื่องดื่มตามชายหาดป่าตอง ตลอดจนปัญหาการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้บริการเจ็ตสกีและรถตุ๊กตุ๊ก เป็นต้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น