แนวโน้มการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกในปี 2552 คาดว่าจะหดตัวลงจากปีก่อน รวมทั้งการค้าระหว่างประเทศของไทยด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณการส่งออก (Export Volume) ในปี 2552 จะหดตัวประมาณร้อยละ 16.5-18.5 ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.8 ส่วนปริมาณการนำเข้า (Import Volume) จะหดตัวประมาณร้อยละ 15.5-18 ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 12.2 ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศของไทยพึ่งพาการขนส่งทางทะเลมากกว่าร้อยละ 90 โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 ปริมาณการขนส่งตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวน 807,874 ที.อี.ยู. หดตัวประมาณร้อยละ 20.9 แบ่งเป็นตู้สินค้าขาออกมีจำนวน 399,429 ที.อี.ยู. หดตัวประมาณร้อยละ 21.3 ขณะที่ตู้สินค้าขาเข้ามีจำนวน 408,445 ที.อี.ยู. หดตัวประมาณร้อยละ 20.5 ซึ่งยอดใช้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลที่ลดลงนี้ก็ได้ทำให้เรือขนส่งหลายลำต้องหยุดให้บริการชั่วคราวและจอดเทียบท่าไว้
สำหรับอัตราค่าระวางเรือในปีนี้โดยเฉลี่ยน่าจะมีแนวโน้มลดลง แม้ล่าสุดหลายสายการเดินเรือมีการยกเลิกเส้นทางขนส่งบางเส้นทางและปรับลดจำนวนรอบการขนส่ง ซึ่งในระยะสั้นอาจทำให้อัตราค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นได้ แต่โดยเฉลี่ยทั้งปีแล้วน่าจะลดลงจากปีก่อน ในส่วนของต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปีนี้มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาน้ำมันก็ไม่สามารถช่วยธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลได้มากนัก ท่ามกลางภาวะที่การค้าระหว่างประเทศหดตัวลงอย่างรุนแรง อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วผู้ให้บริการสามารถคิดค่าระวางเรือโดยบวกความเสี่ยงจากราคาน้ำมันได้อยู่แล้ว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าแนวโน้มธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลในปีนี้จะอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก เนื่องจากต้องพึ่งพายอดการใช้บริการจากผู้ส่งออกและผู้นำเข้า ในสถานการณ์ที่การค้าระหว่างประเทศหดตัวอย่างมาก ยอดใช้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลก็มีแนวโน้มลดลงตาม แต่สำหรับผู้ให้บริการที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าผู้ให้บริการที่มีฐานลูกค้าในธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากต่างประเทศยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ยังมียอดใช้บริการขนส่งสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก
ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อสินค้าอื่นๆ ลดลงไปอย่างมาก โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังจะมีประมาณ 5.5-5.9 ล้านที.อี.ยู. หดตัวประมาณร้อยละ 10-15 จากปีก่อนที่มีจำนวนตู้สินค้าประมาณ 6.5 ล้านที.อี.ยู. ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.3
อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่สัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจจะส่งผลดีบางส่วนต่อเศรษฐกิจโลก โดยหลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้และจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ซึ่งน่าจะส่งผลให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยเริ่มฟื้นตัวตามไปด้วย
โดยคาดว่าการนำเข้าน่าจะมีโอกาสการฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 3 เนื่องจากหากเศรษฐกิจโลกมีโอกาสฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 ภาคธุรกิจจะต้องเริ่มนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อเตรียมการผลิตให้สินค้าสามารถออกจำหน่ายได้ทันในช่วงปลายปีซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลการจับจ่ายใช้สอย ขณะที่แนวโน้มการส่งออกก็น่าจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 และน่าจะเห็นสัญญาณการเติบโตมากขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ในช่วงที่แนวโน้มการค้าระหว่างประเทศยังคงซบเซาอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางทะเลก็อาจต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้ทันกับภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น