ปัจจุบันธุรกิจรักษาความปลอดภัยมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหนุนสำคัญคือ การขยายตัวของความต้องการทั้งจากลูกค้าภาครัฐ โดยเฉพาะการทยอยย้ายหน่วยงานราชการเข้าไปอยู่ในศูนย์ราชการที่สร้างเสร็จ และลูกค้าภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยที่เพิ่งสร้างเสร็จ ทั้งบ้านจัดสรร อาคารชุด และทาว์นเฮ้าส์ รวมไปถึงโครงการอาคารสำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ความกังวลถึงความปลอดภัยในทรัพย์สิน เนื่องจำนวนมิจฉาชีพหรือโจรผู้ร้ายก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้เจ้าของบ้านบางรายก็หันมาติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นเอง อันเป็นผลมาจากราคาของอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจเลือกซื้อมากขึ้น
สำหรับกรณีที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งในบางจังหวัดทางภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในระยะที่ผ่านมา เป็นต้น ทำให้การตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยผลักดันให้ธุรกิจรักษาความปลอดภัยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2553
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดสินค้าและบริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยและระบบป้องกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เหลือจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย จากที่มีการประเมินว่า ธุรกิจรักษาความปลอดภัยในเอเชีย-แปซิฟิก มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงมาก โดยมีการประเมินว่าในปี 2559 มูลค่าธุรกิจรักษาความปลอดภัยในเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราการเติบโตจะสูงถึงร้อยละ 7.5 ต่อปี
ส่วนธุรกิจให้บริการรักษาความปลอดภัยจะมีบทบาทในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยสถานที่ราชการ/รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งหน่วยงานของภาคธุรกิจเอกชนเป็นจำนวนมากได้หันมาใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยแทนการมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งการใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยนั้น สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการจัดหาบุคคลากรในระยะยาวได้ เนื่องจากพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเวรยาม ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และยังจะต้องรับผิดชอบในเรื่องของสวัสดิการด้านต่างๆอีกมาก เทียบกับในกรณีที่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเอง ทักษะ(Skill) ก็แตกต่างกัน ทำให้สะดวกที่จะใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยข้างนอก (Outsource) แทนที่จะทำเอง
ในอนาคตไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าระบบรักษาความปลอดภัยในประเทศไทยจะหันมาใช้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมากขึ้น และลดจำนวนการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยลง กล่าวคือ ปรับสัดส่วนระหว่างค่าใช้จ่ายระหว่างพนักงานรักษาความปลอดภัยและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยจากร้อยละ 80:20 เป็นร้อยละ 60:40 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับในต่างประเทศที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายระหว่างอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยพอๆกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัย
นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยรายใหญ่ของโลก และเป็นแหล่งนำเข้าอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งของไทย เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกสมาคมรักษาความปลอดภัยภาคพื้นเอเชีย มีทำกิจกรรมร่วมกัน และนำเสนอสินค้าด้านระบบรักษาความปลอดภัยที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ นับว่าเข้ามาเพิ่มทางเลือกในตลาดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ซึ่งยิ่งจะทำให้ตลาดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยในประเทศไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น