ค่านิยมของผู้คนในสังคมที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองและค่านิยมของผู้ปกครองในการปลูกฝังทักษะต่างๆสำหรับบุตรหลาน นำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ในปี 2556 ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 16,698 ล้านบาท และจะเติบโตร้อยละ 15.43 ไปสู่มูลค่าตลาดประมาณ 19,275 ในปี 2557 โดยแบ่งเป็นมูลค่าตลาดธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะในกลุ่มที่ไม่ใช่แฟรนไชส์ประมาณ 16,438 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 14.68 จากปี 2556 ในขณะที่ เป็นมูลค่าตลาดธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะในกลุ่มที่เป็นแฟรนไชส์ประมาณ 2,837 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 20.00 จากปี 2556
แม้ว่าจำนวนเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะหรือ Franchisor ในแต่ละปีไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่จำนวนผู้ลงทุนในแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะหรือ Franchisee ที่เพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของจำนวนสาขาแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะที่มีการกระจายตัวไปในจังหวัดรองของภูมิภาคต่างๆ ประกอบกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นของเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะ ทั้งค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Franchise Fee) และค่าธรรมเนียมตามสัดส่วนผลการดำเนินงาน (Royalty Fee) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มูลค่าตลาดธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะในกลุ่มที่เป็นแฟรนไชส์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อพิจารณาในมุมของผู้ลงทุน ก็พบว่า ผู้ลงทุนยังคงเลือกลงทุนกับเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงอยู่ เนื่องจากผู้ลงทุนย่อมต้องการเลือกลงทุนในแฟรนไชส์ที่มีความน่าเชื่อถือลำดับต้นๆสำหรับผู้เรียน โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ที่ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ข้างหน้านี้ ได้แก่ แฟรนไชส์ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา และแฟรนไชส์ธุรกิจสถาบันสอนภาษาต่างชาติ เนื่องจากยังมีความต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่องจากการสอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยของนักเรียน และการเปิด AEC ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษาเพื่อเสริมความรู้และทักษะทั้งสองกลุ่มดังกล่าวได้มีการปรับกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นคุณภาพของผู้สอน การปรับหลักสูตร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น และตอบสนองต่อพฤติกรรมและความต้องการของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น