ในปี 2550 ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องมาจากปี 2549 แม้ว่าจะมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองก็ตาม โดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 จะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.92 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปีที่แล้วช่วงเดียวกันที่มีจำนวน 1.71 ล้านคน ส่งผลให้มีเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 50,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ทั้งนี้เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่หลายประการ ได้แก่
- เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง
- สายการบินต้นทุนต่ำเปิดเส้นทางบินเพิ่มขึ้น
- หน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของหลายประเทศร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจขยายฐานตลาด เป้าหมายในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
- การแข่งขันด้านราคาของบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวต่างประเทศ โดยมีแรงหนุนจากตั๋วราคาประหยัดของสายการบินต้นทุนต่ำ
- แพ็กเกจทัวร์ประเทศเพื่อนบ้านมีราคาถูกกว่าแพ็กเกจทัวร์ในประเทศบางแห่งของไทย
การคมนาคมทางบกระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่สะดวกขึ้น อาทิ ลาว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังเวียดนามได้
- การขยายตัวของตลาดนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลในธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขายตรง และธุรกิจประกันเป็นตลาดรองรับขนาดใหญ่
- การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีลู่ทางเติบโตได้อีกมาก
การเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2550 ส่วนใหญ่ คือ กว่าร้อยละ 85 เป็นการท่องเที่ยวระยะใกล้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยมีมาเลเซีย ครองตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทยมาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีความรุนแรงอยู่ เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์เข้าไปยังมาเลเซีย ส่งผลให้คนไทยเดินทางเข้าไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง สำหรับแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยมากรองลงมาจากมาเลเซีย ได้แก่ จีน ลาว สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ตามลำดับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ลาว และเวียดนาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่สอง ซึ่งเชื่อมระหว่างมุกดาหารและสะหวันนะเขตในช่วงปลายปี 2549 ทำให้การคมนาคมทางรถยนต์สะดวกขึ้น
จากปัจจัยเกื้อหนุนสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อเนื่องมาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะเงินบาทที่คาดว่ายังมีค่าทรงตัวในระดับค่อนข้างแข็ง การขยายการให้บริการกว้างขวางยิ่งขึ้นของสายการบินต้นทุนต่ำ และการแข่งขันจากหลายประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยมีคนไทยเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญ ทั้งตลาดท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และตลาดกลุ่มครอบครัว เนื่องจากเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีการใช้จ่ายในต่างประเทศค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการจับจ่ายเพื่อซื้อสินค้า
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.68 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีที่แล้วช่วงเดียวกัน และก่อให้เกิดเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท
จากแนวโน้มดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้โดยรวมตลอดทั้งปี 2550 ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทยเติบโตในอัตราร้อยละ 7 โดยคาดว่าจะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.6 ล้านคน ส่งผลให้มีเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศคิดเป็นมูลค่า 96,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากปี 2549
ในภาวะที่การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ประเทศไทยมีแนวโน้มจะสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน คือ เวียดนาม และคู่แข่งรายสำคัญที่ทุ่มงบประมาณในการพัฒนาการท่องเที่ยว คือ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มพูนรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศนั้น ประเทศไทยยังมีแนวโน้มสูญเสียเงินตราต่างประเทศออกนอกประเทศจำนวนมากในแต่ละปี จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานภาครัฐจะต้องเร่งรณรงค์ส่งเสริมให้คนไทยหันมานิยมเที่ยวในประเทศ ซึ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจำนวนมากกระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ เพื่อสร้างเม็ดเงินรายได้ท่องเที่ยวสะพัดในประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้งยังช่วยประหยัดการใช้จ่ายเงินตราต่างประเทศจากการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศอีกทางด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น