ตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ (พิจารณาจากจำนวนครั้งของการเดินทางในประเทศของคนไทย) ที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องมาตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลงอย่างเด่นชัดในปี 2549 และต่อเนื่องมาในปี 2550 เนื่องจากมีปัจจัยทั้งจากภายในประเทศและภายนอกประเทศหลายประการส่งผลกระทบบั่นทอนตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวระยะไกลมีแนวโน้มถดถอยลงอย่างเด่นชัด ขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวระยะใกล้เติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และลุกลามไปยังพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง คือ สงขลา ซึ่งมีอำเภอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคใต้ตอนล่างของไทย และเหตุระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯช่วงสิ้นปี 2549 รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ล้วนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังส่งผลกระตุ้นตลาดคนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้น
จากการสำรวจสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศปี 2549 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า มีคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ 81.49 ล้านคน/ครั้งเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.5 เทียบกับในปี 2548 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 ทั้งนี้เป็นผลจากการถดถอยลงเป็นครั้งแรกของการเดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืนของนักท่องเที่ยวคนไทย โดยลดลงร้อยละ 7.8 เป็น 45.47 ล้านคน/ครั้ง เทียบกับที่ขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปีในช่วงปี 2544-2548 ขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับขยายตัวในอัตราสูงถึงร้อยละ19.1 เป็น 36.0 ล้านคน/ครั้ง เทียบกับเดิมที่ขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปีในช่วงปี 2544-2548
เมื่อพิจารณาจากการเดินทางของคนไทยไปยังแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆของประเทศ พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของคนกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ จากการเดินทางระยะกลางและระยะไกลมาเป็นการเดินทางระยะสั้นๆไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยที่การเดินทางแบบค้างคืนลดลงในทุกพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 28 เป็นการเดินทางเข้ามากรุงเทพฯซึ่งลดลงร้อยละ 2.7
ส่วนการเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 21 เป็นการเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 และมีการเดินทางมายังแหล่งท่องเที่ยวในภาคตะวันออกที่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงอันดับหนึ่ง คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.1 รองลงมา คือ การเดินทางมายังแหล่งท่องเที่ยวในภาคกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0
การใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในปี 2549 ก่อให้เกิดรายได้ด้านท่องเที่ยวสะพัดในประเทศคิดเป็นมูลค่า 365,276 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 จากปี 2548 ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 88 เป็นรายได้จากคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืน และร้อยละ 12 เป็นรายได้จากคนไทยที่เดินทางท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าตลาดคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศยังคงมีแนวโน้มชะลอการขยายตัวต่อเนื่องมาในปี 2550 โดยจะมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 84 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปี 2549 ก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวสะพัดในประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 370,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปี 2549
จากแนวโน้มของตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศดังกล่าวเป็นแนวทางในการเพิ่มพูนรายได้ด้านการท่องเที่ยวในประเทศได้ ด้วยการเพิ่มจำนวนครั้งในการเดินทาง การเพิ่มจำนวนวันพัก และการใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละครั้งได้ดังนี้
ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวระยะใกล้โดยมีบริการรองรับอย่างครบวงจร รวมทั้งมีกิจกรรมต่างๆดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวแบบค้างคืน ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละครั้งก่อให้เกิดเม็ดเงินรายได้ท่องเที่ยวจำนวนมาก
ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา เพื่อกระจายการเดินทางท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกตัวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดติดกันหลายวัน ก่อให้เกิดการใช้บริการรองรับด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวทำบุญไหว้พระที่กระแสกำลังมาแรงในปัจจุบัน โดยมีกิจกรรมงานบุญประเพณีที่แตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่นดึงดูดนักท่องเที่ยว
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น