ล่าสุดรัฐบาลเตรียมประกาศใช้มาตรการมาตรการกระตุ้นดีมานด์รถยนต์ BEV ในประเทศ ด้วยการเข้ามาช่วยเหลือเรื่องของระดับราคาให้ใกล้เคียงกับรถยนต์ใช้น้ำมันมากขึ้นนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ค่ายรถที่จะได้รับประโยชน์นั้นอาจจะเป็นเพียงกลุ่มค่ายรถที่มีเทคโนโลยีพร้อมแล้ว และมีฐานการผลิตอยู่ในไทย หรือที่กำลังมีแผนจะลงทุนให้ไทยขึ้นเป็นฐานผลิตรถยนต์ BEV ในระยะอันใกล้นี้ โดยเฉพาะค่ายรถจีนที่มีเทคโนโลยีอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับค่ายรถหรูตะวันตกที่อาจให้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกสำหรับรถยนต์ BEV พวงมาลัยขวา แต่สำหรับค่ายรถญี่ปุ่นอาจมีเพียงบางค่ายที่พร้อมลุยจากประเด็นความพร้อมด้านเทคโนโลยี
ซึ่งผลของมาตรการต่อปริมาณยอดขายรถยนต์ BEV นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะทำให้ในปี 2565 ยอดขายรถยนต์ BEV ในประเทศปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ระหว่าง 4,000 ถึง 5,000 คัน จากที่คาดว่าจะทำได้ 2,000 คันในปี 2564 นี้ โดยแม้ตัวเลขยอดขายปี 2565 จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.5% ถึง 0.6% ของยอดขายรวมทั้งปีที่คาดว่าจะทำได้ 780,000 ถึง 820,000 คัน ทว่า หากมาตรการที่ออกมาสามารถกระตุ้นทั้งฝั่งผู้ซื้อและค่ายรถได้ดี ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้ในอัตราเร่งในปีถัดๆไป จนอาจเพิ่มขึ้นไปถึงตัวเลขยอดขายต่อปี 25,000 คันได้ในปี 2568 ที่โครงการจบ โดย ประเภทรถยนต์ BEV ที่จะเข้ามาทำตลาดได้ในช่วงแรกคือรถยนต์นั่ง ซึ่งค่ายรถมีการพัฒนาอยู่แล้ว โดยในนั้นกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ไซส์ต่างๆน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีตามเทรนด์ความนิยมของตลาดโลกในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าสิ่งที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาขึ้นควบคู่กันไปด้วย คือ เรื่องของความสะดวกในการเข้าถึงจุดชาร์จไฟฟ้า ซึ่งมีผลมากต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ BEV ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในรุ่นระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่และส่วนใหญ่อาจไม่สะดวกติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟที่บ้านนั้น โดยสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนควรร่วมมือกันผลักดันให้เกิด คือ 1) การเพิ่มจำนวนจุดชาร์จไฟฟ้าที่มีหัวจ่ายแบบ DC หรือระบบชาร์จเร็ว รวมถึงขยายจุดชาร์จไฟฟ้าหัวจ่ายแบบ AC เพิ่มขึ้นด้วยตามที่จอดรถสาธารณะหรือที่ให้เช่า อาคารสำนักงาน หรือตามคอนโดที่อยู่อาศัย 2) การสร้างระบบจัดการข้อมูลในการจองหรือเลือกจุดชาร์จที่มีประสิทธิภาพใช้งานง่าย ผ่านแอปพลิเคชั่นที่สามารถจัดการระบบ Big data โดยเฉพาะข้อมูลจุดชาร์จของผู้ให้บริการแต่ละค่ายได้อย่างเหมาะสมครอบคลุมและเป็น real time เนื่องจากมาตรฐานหัวชาร์จของรถยนต์ BEV ค่ายต่างๆอาจไม่เหมือนกัน เพื่อให้เจ้าของรถยนต์ BEV สามารถบริหารจัดการเวลาชาร์จไฟของตนเองร่วมกับบุคคลอื่นได้ดียิ่งขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น