จากที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้กำหนดเป้าหมายใหม่ออกมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 เพื่อเร่งผลักดันให้ไทยขึ้นเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ZEV ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก โดยวางเป้าหมายที่ท้าทายให้ไทยผลิตรถยนต์ ZEV ได้ 100% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในปี 2578 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการสร้างแนวทางในการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง และอาจเกิดผลดีต่อการดึงดูดการลงทุนผลิตรถยนต์ ZEV เข้าประเทศในอนาคตไม่น้อย สร้างโอกาสให้ไทยขึ้นเป็นฐานการผลิตรถยนต์ ZEV หลักแห่งหนึ่งของโลก
ทว่าการจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวเพื่อรักษาความเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคของไทยยังอาจต้องการองค์ประกอบอื่นๆที่สำคัญเพื่อผลักดันไปสู่จุดนั้นด้วย ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า องค์ประกอบที่ภาครัฐและเอกชนในไทยอาจจะสามารถเข้าไปจัดการได้จะมีอยู่ 2 เรื่องหลัก คือ 1) การสร้างโอกาสให้ไทยมีฐานตลาดรถยนต์ ZEV ทั้งในและต่างประเทศที่ใหญ่มากพอ โดยสำหรับตลาดในประเทศ เน้นการแข่งขันด้านราคา สร้างความเชื่อมั่นในเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้า และมีมาตรการเพื่อกระตุ้นให้คนเปลี่ยนรถเร็วขึ้น ขณะที่ตลาดต่างประเทศอาจต้องเร่งพิจารณา FTA ที่ทำคู่กับประเทศที่เป็นตลาดหลักของรถยนต์ ZEV ให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ อาจมีการสร้าง Product Champion ตัวใหม่ที่เป็นรถยนต์ ZEV ทั้งในส่วนของรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถปิกอัพเพื่อช่วยให้การรุกตลาดทำได้ง่ายขึ้น
ส่วนองค์ประกอบที่ 2) การสร้างโอกาสให้เกิดห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนรถยนต์ ZEV ที่ครบวงจรมากที่สุดในประเทศ โดยแม้จะเป็นไปได้ยากที่ไทยจะดึงดูดการลงทุนผลิตเซลล์แบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญและสามารถสร้างมีมูลค่าเพิ่มได้สูงที่สุดเข้าประเทศ แต่ไทยอาจเน้นการดึงดูดชิ้นส่วนสำคัญอื่นที่อยู่ในระบบขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าให้เข้ามาลงทุนในไทยได้ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์ On Board Charger ชิ้นส่วนระบบไฟฟ้าอื่นๆและเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมไปถึงระบบเบรกแบบรีเจนเนอเรทีฟ เป็นต้น เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานชิ้นส่วนด้านอื่นให้ครบวงจรในประเทศแทน
ด
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น