เศรษฐกิจโลกชะลอ กดดันส่งออกไทยเดือนเม.ย. 2562 ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนเม.ย. 2562 มีมูลค่าอยู่ที่ 18,555.6 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัวร้อยละ 2.57 YoY ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 หดตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกมาอยู่ที่ร้อยละ -1.86 YoY ซึ่งการส่งออกสินค้าไทยที่หดตัวในเดือนเม.ย. 2562 เป็นผลมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไทยไปจีนและสหภาพยุโรป ประกอบกับมีผลของฐานที่สูงในปีก่อนจากการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงราคาข้าวและมันสำปะหลังในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงเดือนเม.ย. 2561
ทิศทางการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี 2562 ยังเผชิญความท้าทายอยู่อีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเร็วกว่าที่คาด แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกที่ผันผวน วัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ความเสี่ยงที่ไทยจะอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ถูกติดตาม (Monitoring List) ในรายงานเรื่องการแทรกแซงค่าเงินของทางการสหรัฐฯ รวมไปถึงประเด็นเรื่องข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ปะทุขึ้นมาอีกระลอก ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการค้าโลกตึงเครียดมากขึ้น และเพิ่มเติมความเสี่ยงให้กับภาคการส่งออกสินค้าไทยในช่วงที่เหลือของปี 2562 ทั้งนี้ หากจะทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าไทยอยู่ที่ร้อยละ 3.2 มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเฉลี่ยในช่วง 8 เดือนที่เหลือ จะต้องอยู่ที่ 22,500 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อเดือน ซึ่งมากกว่ามูลค่าส่งออกเฉลี่ยในช่วง 4 เดือนแรกที่อยู่ที่ 20,136 ล้านดอลลาร์ฯ จึงนับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในภาวะที่การส่งออกสินค้าของไทยเผชิญความเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยอยู่ในระหว่างการทบทวนประมาณการส่งออกสินค้าไทยในปี 2562 โดยในเบื้องต้นประเมินว่า การส่งออกทั้งปี 2562 จะหลุดกรอบล่างของประมาณการปัจจุบันที่ร้อยละ 2.5-3.5
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น