ปัจจุบันตลาดรถยนต์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคแห่งรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ไทยเองก็เช่นกันในฐานะที่เป็นประเทศฐานการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก จึงได้มีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว จนไทยได้กลายมาเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำตลาดรถยนต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค นับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์อีโคคาร์ในปี 2553 จนถึงปัจจุบันไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาตลาดรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ โดยในปี 2561 ตลาดรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทยก็มีการเติบโตที่โดดเด่น และคาดว่าจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในปี 2562
ทั้งนี้ในปี 2561 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ตลาดรถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรถยนต์อีโคคาร์มีแนวโน้มขยายตัวสูงถึงร้อยละ 37 ขณะที่รถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าคาดว่าจะมียอดขายรวมทุกประเภทเติบโตกว่าร้อยละ 75 จากปี 2560 ส่งผลให้ตลาดรวมของรถยนต์ในประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 18 คิดเป็นยอดขายรถยนต์ถึง 1,030,000 คัน โดยมาจากหลายปัจจัยบวก เช่น การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ และการเปิดตัวรถรุ่นใหม่หลายรุ่นพร้อมโปรโมชั่นการตลาดที่จูงใจ รวมถึงรถยนต์ในโครงการรถคันแรกชุดสุดท้ายถึงกำหนดครบ 5 ปี เป็นต้น
ส่วนในปี 2562 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการเพิ่มความระมัดระวังดูแลคุณภาพสินเชื่อของบริษัทลีสซิ่งต่างๆ ส่งผลให้โดยรวมแล้วทั้งปี 2562 ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะหดตัวกว่าร้อยละ 2 ถึง 5 จากปี 2561 คิดเป็นยอดขาย 980,000 ถึง 1,010,000 คัน อย่างไรก็ตาม รถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้ากลับมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปัจจัยบวกทั้งการลงทุนของค่ายรถ และนโยบายรัฐที่สนับสนุน ทำให้ยอดขายรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยรวมมีโอกาสเติบโตกว่าร้อยละ 76 ถึง 83 จากปี 2561
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น