จากการศึกษาวัฏจักรของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา พบว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะต้องใช้เวลาประมาณ 4-7 ไตรมาสในการฟื้นตัวขึ้นหากเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอย และธนาคารกลางสหรัฐฯ ตอบรับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งระดับของการผ่อนคลายนโยบายการเงินมีความแตกต่างกันไปตามต้นตอของปัญหาและความชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
และเมื่อทำการเปรียบเทียบชนวนของการเกิดวิกฤตซับไพร์มกับวิกฤต S&L จะพบว่า วิกฤตเศรษฐกิจทั้ง 2 ครั้งนั้นมีต้นตอมาจากปัญหาของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการเงินจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัญหาความไร้เสถียรภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคสหรัฐฯ ในขณะที่ ความเสียหายทางการเงินที่ทยอยปรากฏออกมาในงบดุลของสถาบันการเงิน ก็อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดการเงิน และอาจทำให้สถาบันการเงินต้องทำการคุมเข้มมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อเพื่อการบริโภคในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งในท้ายที่สุด ความเสี่ยงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากปัญหาดังกล่าวมาทั้งหมดได้ส่งผลกระทบกลับไปยังการบริโภคภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 70 ของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น แม้ว่าการส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12.8 ของการส่งออกโดยรวมในปี 2550 (ลดลงจากสัดส่วนประมาณ 16.1 ในปี 2547) อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า ตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยังคงมีความสำคัญต่อภาคส่งออกของไทย หากพิจารณาถึงผลทางอ้อมที่ปรากฏผ่านการส่งออกสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางไปยังประเทศคู่ค้าของไทยเพื่อที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีจุดหมายปลายทางคือตลาดสหรัฐฯ โดยหากย้อนกลับไปในปี 2543-2544 ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญกับภาวะถดถอยครั้งล่าสุด จะพบว่า ภาคส่งออกของไทยหดตัวลงถึงร้อยละ 7.1
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของตลาดส่งออกของไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยตลาดส่งออกอื่นๆ อาทิ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ตลอดจน บางประเทศในยุโรป และตะวันออกกลาง เติบโตได้ดีและมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ก็อาจช่วยลดผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตระหนักถึงประเด็นความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวในแถลงการณ์ประจำปีที่ระบุถึง แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ และธปท.จะยึดกรอบนโยบายการเงินที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อไม่ขยายตัวเกินกว่าเป้าที่กำหนดไว้ ดังนั้นตลาดการเงินและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคงจะต้องติดตามความคืบหน้าของพัฒนาการของวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากวิกฤตดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังค่าเงินดอลลาร์ฯ ตลอดจนตลาดการเงินอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น