ทางการจีนประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 โดยเป็นแผนดำเนินการถึงปี 2553 รับมือกับเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องเหลือร้อยละ 8.5 ในปี 2552 จากที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 9.7 ในปี 2551 สาเหตุสำคัญเนื่องจากภาคส่งออกที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่คาดว่าจะหดตัวลงต่อเนื่องในปี 2552 การส่งออกของจีนที่ชะลอตัวในปีนี้ส่งผลกระทบไปยังภาคเศรษฐกิจภายในจีนทั้งที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนชะลอตัวต่ำสุดตั้งแต่ปี 2547 ส่งผลให้ธุรกิจส่งออกของจีนต้องปิดกิจการลง โดยเฉพาะการผลิตที่ใช้แรงงานมาก ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศด้วย ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนอยู่ในภาวะซบเซาตามความต้องการภายในจีนที่อ่อนแรงลง
ฐานะการคลังของจีนที่แข็งแกร่งทำให้ทางการจีนสามารถดำเนินนโยบายการคลังโดยเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก ขณะเดียวกันทางการจีนสามารถออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินทุนสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากหนี้ภาครัฐยังอยูในระดับต่ำเช่นกัน ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศของจีนก็ถือว่าแข็งแกร่งโดยจีนมีทุนสำรองต่างประเทศมากที่สุดในโลก มูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันเงินเฟ้อของจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนตัวลง ทำให้ทางการจีนน่าจะสามารถดำเนินโนบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อช่วยเหลือธุรกิจภายในประเทศ
แผนการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนที่มีประสิทธิผล ควบคู่กับนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในระดับเหมาะสม คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในจีนให้ดำเนินต่อไปได้และบรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซารุนแรงในปัจจุบันส่งผลให้ประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังของทางการจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีนให้เติบโตในอัตราสูงเป็นตัวเลข 2 หลักเหมือนในช่วงที่ผ่านมาคงเป็นไปได้ยาก
สำหรับผลต่อไทย ภาคส่งออกของจีนที่ชะลอตัวได้ส่งผลกระทบให้การส่งออกของไทยไปจีนชะลอลงด้วย เนื่องจากการนำเข้าของจีนในสินค้าประเภทส่วนประกอบ/ชิ้นส่วน/สินค้าทุนที่ชะลอตัวตามการส่งออกของจีนที่อ่อนแรงลง ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนชะลอตัวตามไปด้วย โดยการส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ชะลอเหลือร้อยละ 22.3 (yoy) จากที่เติบโตร้อยละ 26.8 ในช่วงเดียวกันของปี 2550 (yoy) โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนที่ชะลอลงค่อนข้างมากในเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา สินค้าส่งออกของไทยไปจีนที่ลดลง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์
ขณะเดียวกันธุรกิจส่งออกของจีนที่ต้องปิดตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบรุนแรงจากความต้องการนำเข้าของตลาดส่งออกหลักที่ชะลอตัว รวมทั้งปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น อาจทำให้ธุรกิจส่งออกของจีนที่ปิดกิจการดังกล่าวระบายสินค้าที่เหลืออยู่เข้ามาในไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 พบว่าสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์เซรามิก ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องดนตรี ของเล่น เครื่องกีฬาและเครื่องเล่น และหลอดภาพโทรทัศน์และส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม มาตรการช่วยเหลือภาคส่งออกของทางการจีนที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดได้ปรับเพิ่มอัตราคืนภาษีส่งออก (Export Rebates) ในสินค้าหลายประเภท ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสินค้าจีนในตลาดโลก ทำให้ปัญหาการเลิกกิจการของธุรกิจส่งออกของจีนน่าจะลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สินค้าส่งออกของจีนที่มีความสามารถทางการแข่งขันดีขึ้นอาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับสินค้าส่งออกของจีนในตลาดประเทศที่สาม โดยเฉพาะในยามที่ตลาดมีกำลังซื้อที่จำกัดจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น