ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยปี 2552 มีแนวโน้มที่อาจหดตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยในกรณีที่ไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มเติมอีกมากนัก มูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปีนี้อาจอยู่ในช่วง 300,000 - 450,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ทางบีโอไอตั้งไว้ที่ 650,000 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัว ตลาดเงินอยู่ในภาวะตึงตัว และราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง ในส่วนกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิที่เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 7,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ การกลับมาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้เร็วเพียงใด
แม้ว่าจะเป็นในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ไทยก็มีโอกาสในการได้รับการลงทุนจากต่างประเทศจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของบริษัทข้ามชาติโดยเฉพาะบริษัทญี่ปุ่นซึ่งได้รับผลกระทบจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้เกิดแนวโน้มของการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมโดยการควบรวมระหว่างกันและการโยกย้ายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังเป็นโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น อุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ซึ่งไทยต้องแข่งขันกับอีกหลายๆ ประเทศ อาทิ เวียดนาม อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อดึงดูดนักลงทุนใหม่เหล่านี้ให้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย และในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันไม่ให้นักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนอยู่ในไทย ทำการโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ก็ต้องอาศัยการร่วมมือกันของภาครัฐที่จะออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมและการปรับมาตรการให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น การปรับลดขั้นตอนและภาษีเพื่อลดความซ้ำซ้อนให้กับธุรกิจ และการช่วยเหลือ/สนับสนุนอุตสาหกรรมโดยการลดภาษีที่มีเงื่อนไขผูกติดกับการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือการฝึกอบรม เป็นต้น
โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลสามารถดำเนินการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเป็นการดึงดูดการลงทุนในระยะยาว คือ การเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะไฟฟ้า การขนส่งและระบบโลจิสติกส์ซึ่งประเทศไทยยังมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง การเร่งจัดทำแผนสำรองกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินหากสนามบินและท่าเรือหลักมีเหตุที่จะใช้การไม่ได้ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการขนส่งสินค้า เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา นอกจากนี้ อีกประเด็นที่หน่วยงานรัฐควรให้ความสนใจ คือ กรณีที่มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนหรือได้รับอนุมัติส่งเสริมแล้ว แต่นักลงทุนมีการเลื่อนการลงทุนออกไป ซึ่งในกรณีนี้ทางบีโอไอและภาครัฐควรที่จะคอยติดตามสถานการณ์เพื่อที่จะสามารถร่วมกันแก้ปัญหาและเร่งให้เกิดการลงทุนจริงขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น