ผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงต่ำสุด เหลือร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรกในปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากอานิสงส์จากการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังของทางการจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งได้ช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 เติบโตสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.9 นับว่าฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆ โดยเครื่องชี้วัดของเศรษฐกิจจีนในเดือนสิงหาคมยังสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และยอดค้าปลีก ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นของจีนสามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นของจีนได้ปรับลดลงร้อยละ 14 ในเดือนสิงหาคมถึงปัจจุบัน เมื่อเทียบกับระดับ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม
เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการควบคุมความร้อนแรงในตลาดสินทรัพย์ของทางการจีน แต่ดัชนีตลาดหุ้นของจีนก็ยังสามารถเติบโตได้ร้อยละ 27 จากเดือนกันยานยน 2551 ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ของวิกฤตการเงินโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจภายใน และสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ดีขึ้นใน 2 ไตรมาสสุดท้าย และมีแนวโน้มเติบโตได้ร้อยละ 8.0 ในปีนี้ ตามเป้าหมายที่ทางการจีนตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยท้าทายหลายประการที่ยังคงส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีข้อจำกัด ได้แก่
ความผันผวนของภาคส่งออก เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่มั่นคงมากนัก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลุ่มยูโร และญี่ปุ่นที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของจีนยังต้องประสบปัญหาภาคการบริโภคที่อ่อนแรง เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง
ความร้อนแรงในตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ ทำให้ทางการจีนอาจจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความร้อนแรงของตลาดสินทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ
แรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงราคาในตลาดสินทรัพย์ของจีนที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งเริ่มปรากฏสัญญาณการปรับตัวขึ้นของระดับราคาสินค้าในเดือนสิงหาคม โดยดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งเป็นเครื่องชี้อัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้ผลิต ยังคงอยู่ในแดนลบ แต่อัตราติดลบชะลอลงในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจในจีนปรับสูงขึ้น ขณะเดียวกันทำให้การบริโภคของประชาชนอ่อนแรงลงตามอำนาจซื้อที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพาเศรษฐกิจภายใน
การดำเนินนโยบายการเงินและมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไปของทางการจีนอาจมีความยากลำบากมากขึ้น ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นประกอบกับเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ภาคส่งออกของจีนมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้ภาคส่งออกไม่สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นปัจจัยท้าทายของทางการจีนที่จะต้องดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลโดยใช้เครื่องมือหลายๆ ด้านเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพและลดผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะปัญหาการว่างงานที่อาจสั่นคลอนต่อเสถียรภาพทางการเมืองของทางการจีน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น