ธนาคารกลางเวียดนามปรับลดค่าเงินด่องอีกครั้งในอัตราร้อยละ 3.4 มีผลวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่การปรับลดครั้งแรกที่ร้อยละ 5.4 ในเดือนพฤศจิกายน 2552 การปรับลดค่าเงินด่องอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือภาคส่งออกเนื่องจากปัญหาการขาดดุลการค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งกดดันต่อฐานะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของเวียดนามในปีนี้ ประกอบกับต้องการรักษาเสถียรภาพค่าเงินและลดความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนทางการและอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืด ขณะที่ปัญหาท้าทายของเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้ที่ยังคงต้องจับตามอง ได้แก่ การขาดดุลงบประมาณ การปรับลดลงของเงินสำรองต่างประเทศ และเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งคาดว่าจะกดดันต่อค่าเงินด่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ และอาจส่งผลให้ทางการเวียดนามอาจต้องดำเนินมาตรการเรียกความเชื่อมั่นต่อค่าเงินด่อง รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อต้านทานเงินเฟ้อ อีกด้านหนึ่งคาดว่าระดับราคาที่สูงขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับสูงขึ้นและอำนาจซื้อในเวียดนามอ่อนแรงลง โดยอาจทำให้เศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้อาจเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่ามีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 5.3 ในปี 2552 ก็ตาม
สำหรับผลกระทบของประเทศไทย คาดว่าสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการต้องแข่งขันสูงขึ้นกับสินค้าส่งออกของเวียดนามที่มีราคาต่ำลงในสายตาของผู้นำเข้าต่างประเทศเนื่องจากค่าเงินด่องที่อ่อนค่าลง ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เสื้อผ้า/สิ่งทอ และรองเท้า แต่การที่เงินเฟ้อของเวียดนามเร่งตัวขึ้นคาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตรวมถึงค่าแรงงานของเวียดนามปรับเพิ่มขึ้น อาจ ทำให้ราคาสินค้าส่งออกของเวียดนามไม่ต่ำลงมากนัก ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาวะการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยกับิสินค้าเวียดนามได้ระดับหนึ่ง ขณะที่สินค้าส่งออกไทยที่เน้นตลาดระดับกลาง-บนและสามารถพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่างด้านคุณภาพและภาพลักษณ์ ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินด่องมากนัก อีกด้านหนึ่ง สินค้าส่งออกของไทยส่วนหนึ่งน่าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวดีขึ้นของการส่งออกของเวียดนามทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าขั้นกลาง/สินค้าทุนจากไทยเพิ่มขึ้น เช่น เม็ดพลาสติก สิ่งทอ กระดาษ และสินค้ายานยนต์
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น