หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการผลักดันการปฏิรูประบบประกันสุขภาพแล้ว การปฏิรูประบบการเงินสหรัฐฯ เพื่อคุมเข้มการกำกับดูแลภาคธนาคารและตลาดทุนของสหรัฐฯ จึงกลายเป็นวาระถัดไปของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทั้งนี้ เค้าลางของความเป็นไปไดที่จะมีการออกกฏหมายปฏิรูปภาคการเงินภายในปีนี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ประกาศฟ้องร้องโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ ในข้อหาฉ้อโกงในส่วนที่เกี่ยวกับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อจำนองซับไพร์ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังจะมีการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
แม้เนื้อหาในกฎหมายปฎิรูปภาคการเงินอาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้าก่อนจะส่งต่อให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนาม แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ข้อเสนอโดยรวมในกฎหมายกำกับดูแลภาคธนาคารและตลาดทุนของสหรัฐฯ นั้น น่าที่จะมีเป้าหมายหลักในการยกเครื่องระบบการเงินของสหรัฐฯ โดยเน้นความเข้มข้นที่การจำกัดความเสี่ยงในภาคธนาคาร การปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงิน รวมถึงการเสริมสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพของระบบการเงินเพื่อลดโอกาสของการเกิดวิกฤตภาคการเงินในรอบหน้า เป็นสำคัญ
ประวัติศาสตร์ทางการเงินที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า กฎหมายภาคการเงินของสหรัฐฯ นั้น มีการพัฒนาไปตามยุคสมัย และสภาวะแวดล้อมทางการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ แผนยกเครื่องระบบการเงินในเวทีระดับโลก และการเปลี่ยนแปลงโมเดลของหน่วยงานอื่นๆ อาทิ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ก็อาจทำให้โฉมหน้าของภาคการเงินในช่วงหลายปีข้างหน้าเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่ต้องติดตามหากการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินสหรัฐฯ ถูกตีกรอบจากกฎหมายปฏิรูปภาคการเงินดังกล่าวก็คือ ผลกระทบต่อกำไรของภาคการธนาคาร ตลอดจนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ รวมไปถึงค่าเงินดอลลาร์ฯ นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษสำหรับทางการสหรัฐฯ ในระยะถัดไป ก็คือ แม้กฎหมายปฏิรูปภาคการเงินอาจสามารถจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงในภาคการเงิน และลดโอกาสของการเกิดวิกฤตในรอบถัดไปลง แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่า วิกฤตการณ์ในรอบหน้าก็อาจเกิดขึ้นมาจากความหละหลวมของการรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอ่อนแอของฐานะการคลังที่ต้องใช้เวลาในการเยียวยาหลายปี ขณะที่ ภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ก็อาจยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่า อาจขยับเข้าใกล้ระดับ 100% ของจีดีพีภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น