ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรปยังกังวลกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเอง สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยดัชนีเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายน 2553 ยังคงร้อนแรงกว่าที่คาดทั้งในภาคการผลิตและภาคการบริโภค และมีความเป็นไปได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2553 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 10.5 ซึ่งนับป็นสัญญาณดีที่บ่งชี้ว่าโมเมนตัมการส่งออกของไทยไปจีนมีโอกาสอยู่ในเกณฑ์ดี
ซึ่งล่าสุด การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนพฤศจิกายน 2553 สามารถสร้างสถิติรายเดือนสูงสุดใหม่อีกครั้ง ด้วยมูลค่าการส่งออกที่สูงถึง 2,011.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่เคยสูงถึง 1,900.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก่อนหน้า เช่นเดียวกับการนำเข้าก็สามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันที่มูลค่า 2,373.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนในเดือนพฤศจิกายน 2553สามารถบันทึกยอดสูงสุดที่ระดับ 4,385.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนน่าจะยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยอย่างต่อเนื่องในปี 2554 แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในอนาคตมีโอกาสลดความร้อนแรงลงบ้าง เพราะทางการจีนอาจออกมาตรการคุมเข้มสภาพคล่องทางการเงินตามมาอีกในระยะข้างหน้า เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และลดโอกาสการเกิดภาวะการชะลอตัวอย่างรุนแรงลง ซึ่งก็คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2554 น่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 อันบ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2554 ยังขยายตัวได้ดี และมีสถานะที่เข้มแข็งเหนือประเทศอื่นๆในตลาดโลก จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกไทยไปจีนในปี 2554 น่าจะเติบโตที่ระดับร้อยละ 10-15 หรือสามารถก้าวสู่ระดับมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เช่นเดียวกับปี 2553 และหนุนนำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยสู่ตลาดโลกทะยานทะลุระดับ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เป็นครั้งแรกในปี 2554
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น