ภาพสะท้อนการคานอำนาจทางการเมืองในสภาคองเกรสระหว่างพรรคเดโมเครตที่ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เกิดขึ้นอีกครั้งกับโจทย์ร่างกฎหมายให้งบประมาณฉุกเฉินแก่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-15 พ.ย. 2556 เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานราชการบางส่วน (Government Shutdown) ซึ่ง ณ เวลานี้ สภาคองเกรสยังไม่สามารถหาข้อสรุปเดียวกันสำหรับร่างกฎหมายงบฯ ฉุกเฉินดังกล่าวได้ แม้เส้นตายเที่ยงคืนวันที่ 30 ก.ย. 2556 ตามเวลาสหรัฐฯ กำลังจะมาถึง
ทั้งนี้ ในกรณีที่สหรัฐฯ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเส้นตายการปิดหน่วยงานราชการไปได้นั้น มีการคาดการณ์ว่า อาจฉุดรั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4/2556 ลงจากคาดการณ์ตามกรณีปกติ (ที่ปราศจากการปิดหน่วยงานราชการ) ได้มากถึงร้อยละ 1.4 หากช่วงเวลาการหยุดชะงักด้านงบประมาณกินเวลานานหลายสัปดาห์
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แรงกดดันที่มีต่อทั้งสภาคองเกรส และประธานาธิบดีบารัก โอบามา รวมถึงความเดือดร้อนที่มีต่อลูกจ้าง/ข้าราชการ ที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงใกล้เส้นตายเพดานหนี้ที่รออยู่ในช่วงประมาณกลางเดือนต.ค. 2556 น่าจะทำให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งหาข้อสรุปให้กับประเด็นนี้ นั่นก็แปลว่า ภาวะสุญญากาศของการปิดหน่วยงานราชการสหรัฐฯ ก็ไม่น่าจะกินเวลาหลายสัปดาห์ ดังนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่น่าจะกระทบตัวเลขประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยมากนัก โดยยังคงกรอบคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2556 ไว้ที่ร้อยละ 3.5-4.0 ขณะที่ ภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้ อาจขยายตัวราวร้อยละ 0.5-3.0 แต่กระนั้น ยังคงต้องติดตามข้อสรุปของการปรับเพิ่มเพดานหนี้ (ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ชนเพดานไปแล้ว) ซึ่งจะต้องให้ทันเส้นตายในช่วงประมาณกลางเดือนต.ค.2556 เพราะโจทย์นี้ นับมีความสำคัญค่อนข้างมากต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์ฯ และการเคลื่อนไหวของตลาดเงินตลาดทุนโลกอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น