ธนาคารกลางเวียดนามได้ประกาศลดค่าเงินด่องลงอีกร้อยละ 1 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2558 นับเป็นครั้งที่สองของปี 2558 ท่ามกลางการส่งออกที่ชะลอตัวลงและดุลการค้าที่พลิกกลับมาขาดดุลในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2558 ซึ่งการปรับลดค่าเงินด่องดังกล่าวถือเป็นทางเลือกเชิงนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออกของประเทศให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 10 ในปี 2558 ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตได้ร้อยละ 6.2 ทั้งนี้ ค่าเงินด่องอาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่อ่อนค่าเพิ่มเติมอีกในระยะข้างหน้า หากการส่งออกของเวียดนามยังขยายตัวอย่างชะลอลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ การลดอัตราอ้างอิงของเงินด่องครั้งล่าสุด นับเป็นการส่งสัญญาณผ่อนคลายอีกระลอกของทางการเวียดนาม โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงปัจจุบันอยู่ที่ 21,673 ด่องต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าเงินด่องคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่อ่อนค่าเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า หากการส่งออกของเวียดนามยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมครั้งล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ดำเนินควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมเงินทุนไหลออกในช่วงปลายเดือน เม.ย. 2558 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ค่าเงินด่องแทบจะไม่ปรับลดลงเลย ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากกว่าเงินด่องเมื่อเทียบกับ ณ ต้นปี ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าตามสกุลเงินภูมิภาคคงช่วยประคองการส่งออกในระยะข้างหน้าได้ หากแต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าค่าเงินบาทที่อ่อนค่าคงไม่ได้ส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเวียดนาม เนื่องจากปัญหาเรื่องขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างมากกว่าเรื่องค่าเงินซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้า อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนกว่าเงินด่องโดยเปรียบเทียบน่าจะช่วยหนุนโมเมนตัมการส่งออกของไทยไปยังเวียดนามในฐานะคู่ค้าหลักที่มีศักยภาพในอาเซียน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกของไทยไปเวียดนาในปี 2558 น่าจะเติบโตเร่งขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 10-15
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น