หลังจากประเทศสมาชิกในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งประกอบด้วยไทย จีน เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาวและเมียนมา ได้ให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement: GMS CBTA) ครบทุกฉบับในปลายปี 2558 ก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Greater Mekong Subregion Cross Border Transport Facilitation Agreement Joint Committee Retreat) อีกครั้งวันที่ 14 ก.ค. 2559 โดยสาระสำคัญในการประชุมคือ การร่วมกันปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถระหว่างประเทศ และการเพิ่มโควต้าใบอนุญาตรถขนส่งสินค้าและรถโดยสารไม่ประจำทางระหว่างประเทศชั่วคราวในเส้นทางผ่านด่านต่างๆ เป็น 500 คัน ซึ่งเส้นทางที่จะได้รับอานิสงส์มากที่สุดคงเป็นเส้นทาง R1 (กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ-ปอยเปต-พนมเปญ-บาเวท-นครโฮจิมินห์) เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวยังมีความร่วมมือและจำนวนโควต้ารถขนส่งที่ได้รับอนุญาตโดยไทยและกัมพูชาน้อยที่สุดเพียง 40 คัน
ทั้งนี้ หลังการเพิ่มโควต้ารถขนส่งระหว่างประเทศและการปรับปรุงพิธีการทางศุลกากร ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากไทยไปเวียดนามบนเส้นทาง R1 จะลดลงราว 8-10 ชั่วโมง ทำให้จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 31-41 ชั่วโมง ก็จะเหลือเพียง 23-31ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการขนส่งก็จะถูกลงเกือบร้อยละ 30-35 จากต้นทุนเดิมทั้งหมดอีกด้วย นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านชายแดนของไทยไปยังเวียดนามในเส้นทาง R1 โดยสินค้าที่มีศักยภาพได้แก่ เคมีภัณฑ์อนินทรีย์ เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงเครื่องดื่ม ชิ้นส่วนยานยนต์และผลไม้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่ามูลค่าการส่งออกจากไทยผ่านด่านอรัญประเทศในเส้นทาง R1 คงเติบโตร้อยละ 19.4 (YoY) หรือคิดเป็นมูลค่า 1.5 พันล้านบาทในปี 2560
อย่างไรก็ดี การขนส่งผ่านเส้นทาง R1 ไปยังเวียดนามในปัจจุบันยังคงมีอุปสรรคในบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง ดังนั้น การจัดการต้นทุนในการขนส่งทั้งขาไปและขากลับที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ในขณะเดียวกัน ทางการไทยเองก็ควรเร่งเจรจาลงนามกับกัมพูชาและเวียดนามในการเดินรถระหว่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าผ่านแดนในเส้นทาง R1 อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในลำดับต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น