การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนที่ 45 อย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 ภายใต้วิสัยทัศน์ 'Make America Great Again' มาจากการแนวคิดที่ว่ากระแสโลกภิวัตน์และระบอบการค้าเสรีที่ไม่เป็นธรรม นำมาซึ่งผลกระทบต่อการสูญเสียรายได้ภาครัฐ ตำแหน่งงาน และความสามารถทางการแข่งขันของสหรัฐฯ โดยเป้าหมายหลักในการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯคงเป็น 2 ประเทศคู่ค้าหลักอย่างเม็กซิโก และจีน
โดยผลกระทบในระยะเฉพาะหน้าที่มีต่อการค้าระหว่างประเทศยังจำกัด เนื่องจากการดำเนินมาตรการต่างๆ ของสหรัฐฯ จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการทางกฎหมายเพื่อรองรับ ทว่า ความไม่แน่นอนเชิงนโยบายจะก่อให้เกิดสูญญากาศในการลงทุน และการไหลเข้าของ FDIsนอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นคือ เครือข่ายห่วงโซ่อุปทานในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอาเซียน-5 ซึ่งผูกพันกับภาคการผลิตของจีนอย่างแน่นหนา รวมถึงมีจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก ก็จะได้รับผลกระทบผ่านทั้งการค้าและการลงทุนอีกด้วย
สำหรับระยะปานกลางถึงระยะยาวนั้น คงต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่คงออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งท้ายสุดคงจะส่งสัญญาณถึงอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศที่คงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันอาจมีผลเปลี่ยนรูปแบบของห่วงโซ่การผลิต รวมถึงแบบแผนการลงทุนและการไหลเวียนของ FDIs ของโลกในท้ายที่สุดกลุ่มประเทศที่น่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง คงหนีไม่พ้นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่พึ่งพาการลงทุนและการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะเป็นผลทางอ้อมจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีน ที่ส่งผ่านมายังสินค้าส่งออกของไทยที่เชื่อมโยงอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีน ซึ่งคงส่งผลให้ไทยสูญเสียมูลค่าการส่งออกสินค้าค่อนข้างจำกัด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทว่า ผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อการส่งออกไทย น่าจะเกิดจากการชะลอตัวมากกว่าที่คาดของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2560 ไม่สามารถเติบโตในแดนบวกได้ และอาจหดตัวราวร้อยละ (-)0.5 ถึง (-)1.0 จากเดิมที่คาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนจะสามารถขยายตัวในช่วง ร้อยละ 0.6-2.6 ขณะที่ ในระยะยาว หากไทยไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและการส่งออกให้เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ ไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญของ FDIs และอาจไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการย้ายฐานการผลิตของจีนมายังอาเซียน ภายใต้บริบทการกีดกันทางการค้าที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น