เปิดภาคเรียนใหม่ในปี 2566 นี้ แม้กิจกรรมเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนปกติ แต่ผลสำรวจ พบว่า ผู้ปกครองกว่า 68.5% มีความกังวลสภาพคล่องทางการเงินในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นมากนัก รายได้ยังไม่เหมือนเดิม ขณะที่ภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันปรับตัวสูงขึ้น
โดยกลุ่มที่มีความกังวลส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง (กลุ่มรายได้ต่ำกว่า 40,000 บาทต่อเดือน) และมีบุตรหลานในวัยเรียนมากกว่า 1 คน เนื่องจากการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุตรหลาน โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่เลือกที่จะรับมือกับปัญหาด้วยการประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษา สำหรับกลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองที่มีรายได้และเงินออมไม่เพียงพอเพื่อนำมาชำระค่าธรรมเนียมเพื่อการศึกษา รวมถึงใช้จ่ายในการซื้อชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนและที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียน ทำให้จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากการยืมญาติ/เพื่อน สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โรงรับจำนำ รวมถึงการขอผ่อนผันหรือผ่อนชำระกับทางโรงเรียน
และเนื่องจากในปีนี้ ค่าธรรมเนียมเพื่อการศึกษาบางแห่งปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลทำให้งบประมาณของผู้ปกครองเพื่อการใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2566 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเปิดเทอมใหญ่ในปีที่ผ่านมา โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลานของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2566 นี้ อาจเพิ่มขึ้นประมาณ 5.0% เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีมูลค่าประมาณ 28,500 ล้านบาท
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญของบุตรหลาน จากผลสำรวจ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องการเห็นนโยบายการศึกษาที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ พร้อมกับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนและเนื้อหาของบทเรียนให้ทันสมัย หรือสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ภาครัฐควรมีการลงทุน/พัฒนาระบบการศึกษาให้มีความเท่าเทียมระหว่างในเมืองและชนบท และให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มจำนวนครูผู้สอนในโรงเรียน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น