การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียครั้งแรกในรอบ 30 ปี ทำให้หลังจากนี้คงจะได้เห็นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันในปี 2564 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าการค้ากับซาอุดีอาระเบียรวมเพียง 7,301 ล้านดอลลาร์ฯ ส่วนใหญ่ไทยพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและเคมีภัณฑ์สูงถึง 5,662 ล้านดอลลาร์ฯ แต่การส่งออกสินค้าที่สร้างรายได้กลับมีเพียง 1,638 ล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.6 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้สร้างโอกาสใหม่ให้แก่สินค้าและธุรกิจไทยในระยะต่อไป ขณะเดียวกันก็มีประเด็นด้านการแข่งขันที่ไทยกำลังถูกไล่ตามมาจากคู่แข่งเวียดนามและอินโดนีเซียในตลาดซาอุดีอาระเบียอย่างน่าจับตา แม้สินค้าไทยตอบโจทย์ความต้องการของซาอุดีอาระเบียได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียน แต่สินค้าจากคู่แข่งอินโดนีเซียหลายรายการเริ่มแข่งขันกับไทยในช่วงที่ผ่านมา อาทิ รถยนต์นั่ง ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอาหารทะเลแปรรูป สำหรับเวียดนามในเวลานี้มีสินค้าต่างกับไทยโดยส่วนใหญ่ทำตลาดในกลุ่มสมาร์ทโฟน เสื้อผ้า รองเท้าเป็นหลัก แต่อาจต้องเฝ้าระวังสินค้าข้าวที่อาจมาแข่งกับข้าวไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดอันดับ 2 ของไทยในตะวันออกกลางรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งในแง่การเป็นตลาดนับว่าน่ามีโอกาสเติบโตได้อีกมากด้วยความที่เป็นตลาดร่ำรวยมีรายได้ต่อหัวสูงที่ราว 20,000 ดอลลาร์ฯต่อคนต่อปี น้อยกว่า UAE ครึ่งหนึ่ง แต่มีประชากร 30 ล้านคน มากกว่า UAE ถึงกว่า 3 เท่าตัว อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2565 นี้ด้วยแรงฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการปรับเพิ่มของราคาพลังงานช่วยสร้างรายได้ กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศอานิสงส์โดยรวมให้การส่งออกของไทยไปซาอุดีอาระเบียในปี 2565 กลับมาสู่ภาวะใกล้เคียงปกติก่อนโควิด-19 โดยมีโอกาสเติบโตร้อยละ 15 แตะมูลค่าการส่งออกราว 1,900 ล้านดอลลาร์ฯ อีกทั้งในระยะต่อไปสัญญาณบวกจากการฟื้นความสัมพันธ์กับไทยน่าจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การทำธุรกิจและการท่องเที่ยวระหว่างกันโน้มนำให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักทำตลาดได้ตามมา มีความเป็นไปได้ว่าจะทำการส่งออกไทยไปซาอุดีอาระเบียเร่งตัวอีก 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในเวลา 3 ปี แตะมูลค่า 2,600 ล้านดอลลาร์ฯ ขยับขึ้นเป็นคู่ค้าของไทยที่มีขนาดเทียบเคียงกับตลาดอังกฤษ ซึ่งแรงผลักดันสำคัญมาจากสินค้าอาหารฮาลาล (อาหารทะเลแปรรูป ข้าว เครื่องปรุงรส) ยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เรื่องใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ดี การจะผลักดันการส่งออกของไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพส่วนหนึ่งคงต้องอาศัยแรงผลักดันของภาครัฐ ซึ่งในขณะนี้ด้วยความที่ภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างปิด และยังไม่มีการจัดทำ FTA กับต่างชาติมากนัก หากอาศัยจังหวะที่รัฐบาลไทยและซาอุดีอาระเบียเริ่มสานสัมพันธ์ครั้งใหม่ต่อยอดเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างกันได้ก่อนชาติอื่นในอาเซียน โดยอาจเจรจาโดยใช้รูปแบบเดียวกับสิงคโปร์ผ่านความตกลง GCC ก็จะช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยได้มีโอกาสเข้าทำตลาดได้มากขึ้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น