ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบธ.พ. ไทย) อาจขยับขึ้นในไตรมาส 1/2564 โดยแม้รายได้จากธุรกิจหลักของธ.พ. ไทยจะยังไม่ฟื้นตัวกลับมา เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายๆ ส่วนของไทยยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 แต่ระดับกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2564 มีโอกาสขยับขึ้น 75% QoQ เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้เสียที่ชะลอลง (แต่ยังเป็นระดับสำรองฯ ที่มากกว่าระดับปกติ)
อย่างไรก็ดี ประเมินว่า การประคองทิศทางผลประกอบการระบบธ.พ. ไทยในระยะที่เหลือของปีอาจมีความท้าทายมากขึ้น เพราะคงต้องยอมรับว่าโควิด 19 ระลอกสามมีผลกระทบต่อจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รายได้หลักของธุรกิจธนาคาร และประเด็นคุณภาพหนี้ ซึ่งให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจต้องดำเนินการต่อเนื่องตลอดช่วงที่เหลือของปี 2564
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประสิทธิผลของมาตรการควบคุมสกัดการแพร่ระบาดของโควิด 19 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่บ่งชี้ถึงความเพียงพอของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยในกรณีที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันควบคุมการระบาดได้ดีและภาครัฐเดินหน้าเยียวยาเศรษฐกิจตามแผนที่วางไว้ คาดว่า มาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่มีอยู่ น่าจะช่วยประคองสถานะทางการเงินของผู้ประกอบการไปได้ระดับหนึ่ง เพียงแต่อาจต้องขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยให้ครอบคลุมช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในระยะข้างหน้ายังคงมีความไม่แน่นอนและอาจทำให้ปัญหามีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นสัญญาณสะท้อนถึงความจำเป็นที่ทางการไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องกลับมาทบทวนความเพียงพอ-เหมาะสมของมาตรการทางด้านการเงินและมาตรการอื่นๆ ที่มีอยู่ และอาจต้องปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการ หรือเตรียมกลไก-มาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติมให้เท่าทันกับสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของวิกฤตครั้งนี้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น