ข้อมูลจากเอกสารรายการย่อแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน (ธ.พ.1.1) ของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่งที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวบรวม สะท้อนว่า สินเชื่อสุทธิในเดือน พ.ย. 2562 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นฤดูกาลเบิกใช้สินเชื่อ เนื่องจากปัจจัยลบด้านการชำระคืนสินเชื่อภาคธุรกิจ ประกอบกับสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ยังไม่ฟื้นตัว และสินเชื่อรายย่อยที่เติบโตดีเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ขณะที่สินเชื่อรายย่อยหลักทั้งสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถ ขยายตัวเพียงเล็กน้อยจากผลของมาตรการ LTV สินเชื่อบ้านและยอดขายรถยนต์ใหม่ที่ชะลอลง
ยอดคงค้างสินเชื่อสุทธิ ณ พ.ย. 2562 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.22 หมื่นล้านบาท หรือ 0.19% เป็น 11.72 ล้านล้านบาท ทำให้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สินเชื่อเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงมาที่ 1.82%YoY และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนเพียง 0.78% YTD ซึ่งเป็นภาพที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนแรกของปี 2561 ที่เห็นภาพการขยับขึ้นของสินเชื่อ 4.1% YTD ขณะที่ ยอดคงค้างเงินฝาก ณ พ.ย. 2562 ลดลงจากเดือนก่อน 1.74 หมื่นล้านบาท หรือ 0.13% เป็น 12.99 ล้านล้านบาท โดยเงินฝากส่วนใหญ่ลดลงในบัญชีเงินฝากประจำของธนาคารขนาดใหญ่และกลาง และบางส่วนในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของภาครัฐ
จากภาพดังกล่าวข้างต้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สินเชื่อระบบธ.พ.ไทย อาจจะปิดสิ้นปี 2562 ที่ระดับต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 3.5% โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจมากกว่าที่คาดไว้ จากปัจจัยแวดล้อมของเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่แม้ในเบื้องต้นจะประเมินว่าทิศทางเศรษฐกิจปี 2563 น่าจะปรับตัวดีขึ้น และคงมีส่วนช่วยกระตุ้นการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อของภาคธุรกิจให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามในปีหน้าจากโอกาสและความเสี่ยงในส่วนของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อเอสเอ็มอีที่อาจจะมีผลต่อภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อของระบบธ.พ.ไทย และกรอบประมาณการสินเชื่อปี 2563 ที่ 3.0-3.8% ในระยะข้างหน้า
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น