Display mode (Doesn't show in master page preview)

3 ธันวาคม 2565

Econ Digest

ค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย (สัปดาห์ที่ 28 พ.ย. – 2 ธ.ค. 65)

คะแนนเฉลี่ย

สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท

  • เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 5 เดือนครึ่ง โดยมีแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟด ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในการประชุมรอบสุดท้ายของปี ประกอบกับมีความคาดหวังว่าทางการจีนจะทยอยผ่อนปรนมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิดในระยะข้างหน้า เงินบาทรักษาทิศทางแข็งค่าไว้ได้อย่างต่อเนื่อง (ทั้งในช่วงก่อนและหลังการประชุมกนง.) สอดคล้องกับสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
  • สัปดาห์ระหว่างวันที่ 5-9 ธ.ค. 2565 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 34.40-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือนพ.ย. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ท่าทีต่อมาตรการโควิดของทางการจีน ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการ และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ การประชุม RBA, BOC และ RBI ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน


สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

  • SET Index ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ SET Index ย่อตัวลงช่วงสั้นๆต้นสัปดาห์ ก่อนจะดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา โดยมีปัจจัยหนุนจากความคาดหวังว่าทางการจีนจะผ่อนคลายนโยบายคุมโควิด แรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดจะชะลอขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี หุ้นไทยลดช่วงบวกลงเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ระหว่างรอติดตามตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ
  • สัปดาห์ที่ 5-9 ธ.ค. 2565 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,630 และ 1,610 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,650 และ 1,660 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน ดัชนีราคาผู้ผลิต และดัชนี ISM/PMI ภาคการบริการเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของจีน

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น