Display mode (Doesn't show in master page preview)

24 มกราคม 2568

Econ Digest

ค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย (สัปดาห์ที่ 20-24 ม.ค. 68)

คะแนนเฉลี่ย

สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท

  • เงินบาทแข็งค่าผ่านแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 33.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังไม่ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงเผชิญแรงขาย หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ตัดสินใจเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าในทันทีที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง (แม้ในเวลาต่อมาจะมีการระบุถึงอัตราภาษีที่เก็บเพิ่ม 25% ต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนในวันที่ 1 ก.พ. นี้ก็ตาม) เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าและแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ 33.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามทิศทางเงินเยน หลังธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% (ไปอยู่ที่ระดับ 0.50%) ในช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มีความเห็นในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
  • สัปดาห์ระหว่างวันที่ 27-31 ม.ค. 2568 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.30-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมเฟด (28-29 ม.ค.) การประชุม ECB (30 ม.ค.) สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติและค่าเงินหยวน ดัชนีราคา PCE และ Core PCE เดือนธ.ค. 2567 ของสหรัฐฯ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงตัวเลขดัชนี PMI เดือนม.ค. ของจีน


สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย

  • ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน แต่พลิกกลับมาปิดบวกได้ช่วงท้ายสัปดาห์ ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบในช่วงแรก ก่อนจะดีดตัวขึ้นจนถึงช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ หลังท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่ตลาดกังวล ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์หลังงบไตรมาส 4/2567 ออกมาค่อนข้างดี รวมถึงแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามทิศทางการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงในเวลาต่อมาท่ามกลางแรงขายทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ หลังตอบรับปัจจัยบวกข้างต้นไปพอสมควรแล้ว โดยหุ้นกลุ่มที่เผชิญแรงขายทำกำไรหลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มแบงก์ที่ประกาศผลประกอบการเสร็จสิ้นไปแล้ว และกลุ่มพลังงานตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะกดดันให้มีการปรับลดดอกเบี้ยทันที พร้อมเรียกร้องให้มีการปรับลดดอกเบี้ยทั่วโลก
  • สัปดาห์ที่ 27-31 ม.ค. 2568 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,345 และ 1,330 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,360 และ 1,375 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมเฟด (28-29 ม.ค.) ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ของบจ.ไทย นโยบายของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ของสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนธ.ค. 2567 ของสหรัฐฯ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของสหรัฐฯ และยูโรโซน การประชุม ECB ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนม.ค. 2568 และกำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. 2567 ของจีน

Scan QR Code


QR Code

หมายเหตุ

รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น