ปัจจุบัน
ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยหันมาให้ความสำคัญในพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มุ่งตอบโจทย์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า Green Home ตามนิยามที่ควรจะเป็น
คือ การก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง ลดการปล่อยคาร์บอน ยังมีต้นทุนสูงมาก
โดยปัจจุบันต้นทุนการพัฒนายังสูงกว่าที่อยู่อาศัยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 30%
ทำให้คงยังต้องใช้เวลา
ในระยะนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จึงจะยังเน้นไปเพื่อการประหยัดพลังงานเป็นหลัก (อาคาร BEC, บ้านเบอร์ 5,
โซลาร์รูฟท็อป เป็นต้น) ซึ่งต้นทุนต่ำกว่า Green Home
แต่ก็ยังสูงกว่าที่อยู่อาศัยปกติ ทำให้ตลาดนี้ก็ยังเป็น Niche market
เพราะต้องมีเงื่อนไขที่ลงตัวหลายอย่าง
ขณะเดียวกัน จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย สะท้อนว่า
ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะให้ความสนใจต่อที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แต่ยังไม่พร้อมหากต้องจ่ายเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างกว่า 71%
ยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หากราคาขายที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%
และแม้การเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว
แต่กลุ่มตัวอย่าง 70% มองว่า ยังไม่จำเป็นต้องติดตั้ง
เนื่องจากการลงทุนติดตั้งยังมีราคาสูง
ทำให้การประหยัดพลังงานด้วยวิธีที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า เช่น
ใช้หลอดประหยัดไฟ/เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน
การติดฟิล์มกันแสงเพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในบ้าน ได้รับความสนใจมากกว่า
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า
การเปลี่ยนผ่านตลาดที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังต้องใช้เวลา
และหากจะให้เทรนด์ดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ทางการคงจะต้องมีนโยบายที่จูงใจ
ทั้งทางฝั่งผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศํย
และผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงานสร้างเสร็จใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลปี
2566 (อาคารชุดมาตรฐาน BEC, บ้านเบอร์ 5, บ้านที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป,
ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน,
ใช้วัสดุก่อสร้างบางกลุ่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) อาจมีสัดส่วน 36%
ของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
โดยส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด เนื่องจากอาคารที่มีขนาดพื้นที่ 2,000
ตารางเมตรขึ้นไป จะต้องออกแบบอาคารตามกฎหมาย BEC
ขณะที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บนขึ้นไป
คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.3%
ของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
เนื่องจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยดังกล่าวยังมีต้นทุนสูง
ทำให้ผู้ประกอบการทำการตลาดเป็นบ้านพรีเมียม/บ้านเฉพาะกลุ่ม
โดยแม้บางอย่างจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
แต่จะถัวเฉลี่ยด้วยการลดต้นทุนอย่างอื่นลง เพื่อให้ยังได้มาร์จิ้น
และสามารถปิดการขายได้ (โดยมุมมองนี้ อยู่บนเงื่อนไขที่ระมัดระวัง
เนื่องจากสภาพตลาดที่ยังมีความเปราะบาง เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี
รายได้ยังไม่กลับมาเหมือนเดิมและอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวสูงและยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก)
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น