ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ไม่รวม Food service) ในปี 2566 จะเติบโตที่ 4.0% - 6.0% ซึ่งเป็นทิศที่ชะลอลงจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้าที่เติบโต 7.4% โดยการบริโภคผ่านร้านค้าปลีกต่างๆ อาจยังเพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมนอกบ้านและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่การเพิ่มขึ้นของราคาน่าจะชะลอลง อีกทั้งผู้บริโภคบางส่วนอาจหันไปบริโภคเครื่องดื่มผ่าน Food service มากขึ้น จึงทำให้คาดว่า ตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปีนี้น่าจะโตในอัตราที่ชะลอลง
ทั้งนี้ นอกจากจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยหนุนตลาดสินค้ากลุ่มนี้ในภาพรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การฟื้นตัวของการทำแคมเปญการตลาดและโฆษณาจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายด้วย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ออกใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างการรับรู้หรือความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องสารอาหารหรือคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่ในตัวสินค้า สะท้อนได้จากรายได้ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทุกๆ 100 บาท จะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (รวมค่าโฆษณาหรือทำการตลาด) ราว 20 บาท (ค่าเฉลี่ยปี 2561-2564) สูงกว่าธุรกิจอาหารที่ที่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว ราว 12 บาท ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การทำการตลาดหรือโฆษณากับกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างมีผลต่อการช่วยกระตุ้นยอดขายได้
มองไปข้างหน้า แม้ว่าทิศทางของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะไปทางเทรนด์สุขภาพ แต่ด้วยความถี่ในการบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นสินค้าประจำวัน (Consumer goods) ที่อาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าแต่ละประเภทก็สั้นลง ความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ขณะที่ผู้เล่นจำนวนมากยังทยอยเข้าสู่ตลาด สะท้อนถึงภาพการแข่งขันของธุรกิจที่จะยังคงรุนแรง นั่นหมายความว่า การเพิ่มความถี่หรือการเพิ่มมูลค่าในการดื่มต่อครั้งของผู้บริโภค เพื่อที่จะรักษายอดขายของทุกผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการแต่ละราย เพราะสินค้าแต่ละตัวมีความสามารถในการทำยอดขายหรือประสบความสำเร็จได้แตกต่างกัน
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น