จากการประชุมกนง. ในวันที่ 30 พย ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยกนง. มองว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงและกลับสู่กรอบเป้าหมายภายในปี 2566 แม้ว่ากนง. จะมีการปรับประมาณการเงินเฟ้อปีหน้าสูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 2.6% มาเป็น 3.0% เนื่องจากการปรับค่าไฟฟ้าเป็นสำคัญ ในส่วนของประมาณการเศรษฐกิจ กนง. ยังคงมีมุมมองไม่ต่างจากเดิมโดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.2% ในปีนี้ และ 3.7% ในปีหน้า แต่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจชะลอตัวมากกว่าคาด
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ากนง. คงจะยังทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 1.75-2.00% ในขณะที่ ในช่วงครึ่งปีหลัง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ อ่อนแรงลง คงจะส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงเฟดกลับมาให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฟดคงชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไปและอาจหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ซึ่งคงจะช่วยลดแรงกดดันต่อกนง. ด้านค่าเงินอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจคาอยู่ในระดับสูงและเฟดอาจยังคงมุมมองแข็งกร้าวยาวนานกว่าที่คาด ซึ่งคงส่งผลให้กนง. คงเผชิญแรงกดดันให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าคาด
|
Click ชมคลิป
กนง.มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% คาดปี 66 แตะระดับสูงสุด 2.00%
|
Scan QR Code
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น