Display mode (Doesn't show in master page preview)

28 ธันวาคม 2548

อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

แนวโน้มธุรกิจก่อสร้างปี 2549 : ตัวแปรสำคัญขึ้นอยู่กับโครงการลงทุนของรัฐ

คะแนนเฉลี่ย

ธุรกิจก่อสร้างมีการฟื้นตัวขึ้นมาเป็นลำดับ จากสถานการณ์ตกต่ำของธุรกิจภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจ โดยได้รับแรงสนับสนุนที่สำคัญจากการเติบโตสูงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยชดเชยการลงทุนในโครงการก่อสร้างสาธารณะของภาครัฐที่ลดต่ำลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2541-2546 และในช่วงปี 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเริ่มมีงบประมาณลงทุนในโครงการต่างๆมากขึ้น เนื่องจากสถานะทางการคลังของรัฐบาลที่ดีขึ้นทำให้รัฐบาลสามารถกลับมาผลักดันโครงการลงทุนด้านโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นต่อการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและศักยภาพการแข่งขันของประเทศ

ในช่วงปี 2549 วัฎจักรธุรกิจก่อสร้างเริ่มมีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเป็นที่คาดหมายว่าแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเข้ามารับช่วงต่อ ภายใต้ภาวะที่แรงขับเคลื่อนจากภาคเอกชนเริ่มอ่อนตัวลง ซึ่งน่าที่จะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างมีโอกาสเติบโตได้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ในขั้นตอนของการดำเนินการโครงการ อาจมีความล่าช้าเกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ซึ่งยังมีความไม่ชัดเจนบางประการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจก่อสร้างในปี 2549 โดยมีสมมติฐาน 2 กรณี คือ กรณีที่โครงการของภาครัฐดำเนินการได้ตามแผนการ และกรณีที่โครงการบางโครงการอาจมีความล่าช้าในการเริ่มต้นดำเนินการ

สำหรับในปี 2548 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การลงทุนในด้านการก่อสร้างภายในประเทศอาจจะมีอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ประมาณร้อยละ 8.6 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 10.6 ในปี 2547 มูลค่าการก่อสร้างโดยรวม คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 668,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากที่มีมูลค่า 587,105 ล้านบาทในปี 2547 โดยคาดว่าการลงทุนของภาคเอกชนจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนการลงทุนของภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น จากการที่รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจมีโครงการลงทุนในสาขาต่างๆเพิ่มสูงขึ้น

แนวโน้มธุรกิจก่อสร้างในปี 2549 คาดว่ามีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูงขึ้น โดยมีแรงกระตุ้นที่สำคัญจากโครงการของภาครัฐในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ ขณะที่การลงทุนในด้านการก่อสร้างของภาคเอกชน การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอาจยังคงมีทิศทางที่ชะลอตัว ส่วนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยอาจขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี ในกรณีพื้นฐาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการลงทุนในด้านการก่อสร้างโดยรวมของประเทศในปี 2549 อาจจะมีมูลค่าประมาณ 803,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2548 ที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 668,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ประมาณร้อยละ 15 เร่งตัวขึ้นโดยมีการลงทุนโครงการสาธารณะของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยคาดว่าในปี 2549 การก่อสร้างของภาคเอกชนโดยรวมอาจจะมีมูลค่าประมาณ 371,000 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ ประมาณร้อยละ 8 ต่ำลงเล็กน้อยจากที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.4 ในปี 2548 ส่วนการก่อสร้างของภาครัฐอาจมีโอกาสสูงประมาณ 432,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ ประมาณร้อยละ 23 เร่งตัวขึ้นอย่างมากจากที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9 ในปี 2548

อย่างไรก็ตาม แม้คาดว่าการก่อสร้างมีโอกาสขยายตัวได้สูงในช่วงปี 2549 แต่ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตยังมีความไม่แน่นอน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้วิเคราะห์ผลที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่การลงทุนโครงการของรัฐอาจมีความล่าช้า โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ ประการแรก การลงทุนในส่วนของโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่ตามแผนการเดิมจะมีการลงทุน 7 สายในช่วงปี 2549 ใช้งบประมาณลงทุน 46,605 ล้านบาท (และแผนการล่าสุดอาจปรับเพิ่มเป็น 10 สาย) แต่เส้นทางที่น่าที่จะมีการลงทุนได้ค่อนข้างชัดเจน คาดว่าจะเป็นสายสีแดงเข้ม สีแดงอ่อน สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วงบางส่วน ประการที่สอง ในกรณีที่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่สามารถดำเนินการได้ในปี 2549 และรัฐบาลไม่สามารถจัดหารายได้มาทดแทนได้ทัน ทำให้อาจต้องตัดลบงบประมาณการลงทุนลงเพื่อรักษาเป้าหมายงบประมาณสมดุล ผลดังกล่าวข้างต้นรวมกัน อาจทำให้การเติบโตของการลงทุนในการก่อสร้างของภาครัฐลดลงมาเป็นประมาณร้อยละ 14 และการลงทุนด้านการก่อสร้างโดยรวมมีอัตราการเติบโตลดลงมาเป็นร้อยละ 11 แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นอัตราที่สูงขึ้นกว่าปี 2548

จากการที่รัฐบาลมีแผนการลงทุนในระยะปานกลางถึงระยะยาวในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ โดยแผนการลงทุนของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือ เมกะโปรเจ็กต์ สำหรับปีงบประมาณ 2548-2552 ที่มีการปรับปรุงใหม่ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 1,804,240 ล้านบาท (จากเดิม 1,700,750 ล้านบาท) โครงการเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้างมีแนวโน้มปริมาณงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า โครงการลงทุนของภาครัฐน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้การลงทุนด้านการก่อสร้างโดยรวมมีอัตราการขยายตัวสูงเกินกว่าร้อยละ 10 ไปได้จนถึงประมาณปี 2550 และค่อยๆชะลอลงในปี 2551 ก่อนที่จะหดตัวลงในปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่มูลค่าโครงการลงทุนของรัฐอาจจะปรับลดลงในช่วงท้ายของโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งนี้ คาดว่าในระหว่างปี 2550-2552 การลงทุนในด้านการก่อสร้างของประเทศ อาจจะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 970,000 ล้านบาทต่อปี หรือมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย ณ ราคาคงที่ ประมาณร้อยละ 4 ต่อปี

นอกจากนี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค รัฐบาลมีแผนการที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ พลังงาน และการคมนาคมขนส่ง โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคอาเซียน อินโดจีนและเอเชียใต้ ประกอบกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น ในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างไทยจะสามารถเข้าไปรับงานในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับงานก่อสร้างภายในประเทศ รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์มากขึ้น เพื่อให้โครงการเดินหน้าไปได้รวดเร็วและมีความคล่องตัว ซึ่งอาจทำให้บริษัทก่อสร้างไทยเผชิญกับภาวะธุรกิจที่อาจจะมีผู้เล่นเข้ามาแข่งขันมากรายขึ้น

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่น่าจะมีผลต่อทิศทางของธุรกิจก่อสร้างในระยะต่อไปคือการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันจากการที่ไทยจะต้องเปิดตลาดมากขึ้นให้แก่ผู้ให้บริการด้านการก่อสร้างและผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างจากต่างประเทศ การเร่งปรับศักยภาพและนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจึงเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการควรต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือการแข่งขันที่จะสูงขึ้นในอนาคต ธุรกิจก่อสร้างของไทยอาจจำเป็นต้องมีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทก่อสร้างในประเทศ การร่วมทุนและการเป็นพันธมิตรกับบริษัทจากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพที่จะรับมือกับการแข่งขันที่จะสูงขึ้นภายในประเทศ และเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระดับภูมิภาค การพัฒนาธุรกิจก่อสร้างควรจะมีการจัดตั้งหน่วยสถาบันระดับประเทศที่เข้ามาควบคุมดูแลการประกอบกิจการของผู้ประกอบการ ตลอดจนจัดระเบียบและกำหนดแนวทางอุตสาหกรรมก่อสร้างให้เดินไปข้างหน้าสอดคล้องกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในด้านต่างๆที่รัฐบาลได้กำหนดแนวทางไว้

ดูรายละเอียดฉบับเต็ม


อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง