ปัจจุบันธุรกิจคนรับใช้ในบ้านไม่ใช่ธุรกิจที่น่าจะมองข้าม เนื่องจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่าในปี 2550 จำนวนคนที่ทำงานบริการคนรับใช้ในบ้านมีประมาณรวมกันถึง 400,000 คน และสร้างเม็ดเงินสะพัดสูงถึง 27,000 ล้านบาท โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเฉลี่ยที่ได้จากการสัมภาษณ์คนที่ทำงานบริการคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งอัตราค่าจ้างนั้นจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานและความพึงพอใจของนายจ้าง บริการคนรับใช้ในบ้านนั้น แยกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
- คนไทยที่ทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้านที่อยู่ในประเทศไทยคาดว่าในปี 2550 มีคนไทยที่ทำอาชีพคนรับใช้ในบ้านประมาณ 225,000 คน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 11,000 ล้านบาท จากปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ต้องการมาทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ทำให้ครัวเรือนที่มีความต้องการคนรับใช้ในบ้านต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการหาคนรับใช้ในบ้าน และหลายครั้งไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้เกิดธุรกิจบริการจัดส่งแม่บ้าน ซึ่งธุรกิจนี้พลิกรูปแบบบริการคนรับใช้ในบ้านเป็นรูปแบบเดียวกับการจ้างงานพนักงานในสำนักงาน ซึ่งมีข้อแตกต่างจากการจ้างคนรับใช้ในบ้านในอดีตอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ เดิมที่อัตราค่าจ้างและลักษณะงานนั้นแต่ละครัวเรือนจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งอัตราค่าจ้างและลักษณะงานจะไม่แน่นอนแล้วแต่ละครัวเรือน แต่ปัจจุบันทางศูนย์ฯมีสัญญาการจ้างงานเป็นลายลักษณ์อักษร กำหนดลักษณะงานที่อยู่ในหน้าที่ไม่ใช่เป็นการจ้างเหมาให้ทำทุกอย่าง มีการกำหนดวันทำงานและวันหยุดเช่นเดียวกับพนักงานบริษัท
- แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้านคาดว่าในปี 2550 แรงงานต่างด้าวที่มีอาชีพคนรับใช้ในบ้านนั้นมีจำนวน 150,000 คน ซึ่งสร้างเม็ดเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท คนรับใช้ในบ้านที่เป็นแรงงานต่างด้าวในปัจจุบันจึงแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงแรงงาน และกลุ่มที่ลักลอบเข้าเมือง อัตราค่าจ้างของคนรับใช้ในบ้านที่เป็นแรงงานต่างด้าวจะอยู่ในระดับประมาณ 3,000-5,000 บาท แต่ในระยะหลังนี้อัตราค่าจ้างจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่ามีใบอนุญาตหรือไม่ พูดหรือฟังภาษาไทยได้หรือไม่ ส่วนประสบการณ์ในการทำงานเป็นเรื่องที่จะพิจารณาภายหลัง โดยถ้าแรงงานต่างด้าวนั้นมีใบอนุญาตอัตราค่าจ้างจะสูงกว่าแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาต
- คนไทยที่ทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้านในต่างประเทศ(อาชีพแม่บ้านไทยในต่างประเทศ)คาดว่าในปี 2550 จำนวนแม่บ้านไทยในต่างประเทศจะมีประมาณ 25,000 คน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 20 ของจำนวนแรงงานไทยทั้งหมดที่ไปทำงานในต่างประเทศ และคาดว่าแม่บ้านไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศนั้นส่งเงินกลับประเทศไทยในปี 2550 สูงถึง 7,000 ล้านบาท ทำให้แม่บ้านไทยได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ส่วนแม่บ้านไทยก็นิยมไปทำงานในต่างประเทศ เนื่องจากได้รับค่าจ้างสูง เมื่อเทียบกับการทำงานในประเทศ กล่าวคือ ในฮ่องกงอัตราค่าจ้างแม่บ้านขั้นต่ำอยู่ที่ 18,000 บาทต่อเดือน ไต้หวันประมาณ 19,000 บาทต่อเดือน ซึ่งอัตราค่าจ้างอาจจะมีการปรับสูงกว่านี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานและลักษณะงานที่ระบุไว้ในสัญญาการว่าจ้าง ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีสำนักงานจัดหาแรงงานทั้งของรัฐบาลและเอกชนที่เข้ามาทำหน้าที่จัดหาแม่บ้านไปทำงานในต่างประเทศ
ในปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาคนรับใช้ในบ้านทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งการที่ธุรกิจเหล่านี้ยังมีแนวโน้มเติบโตนั้นควรมีการกำหนดหน่วยงานที่จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนการจัดตั้ง โดยมีการกำหนดมาตรฐานของแต่ละศูนย์ที่จะจัดตั้งขึ้น การกำหนดมาตรฐานของพนักงาน และกำหนดบทลงโทษเมื่อเกิดกรณีคดีความทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งของพนักงานจากศูนย์ฯ โดยต้องให้ทางศูนย์มีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกับพนักงานที่ส่งไปทำงานตามบ้านต่างๆด้วย เนื่องจากศูนย์จัดหาแม่บ้านหรือคนรับใช้ในบ้านเหล่านี้เป็นคนกลางจัดหางานให้กับผู้ที่ต้องการแม่บ้านหรือคนรับใช้ในบ้าน รวมทั้งมีการจัดทำสัญญาการจ้างงานอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงควรมีการออกกฎระเบียบมาควบคุมทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีที่ศูนย์ดังกล่าวจัดส่งพนักงานที่ไม่ได้ผ่านการอบรมอย่างถูกต้อง ซึ่งนับว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค รวมทั้งยังต้องให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินหรือชีวิตของผู้บริโภคด้วย ส่วนในกรณีของแรงงานต่างด้าวที่ทำอาชีพคนรับใช้ในบ้านนั้น การกำหนดโควตานั้นนับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แต่ประเด็นที่ต้องเข้มงวดต่อไปด้วยคือ การต่ออายุใบอนุญาตและการควบคุมการโยกย้ายแรงงานต่างด้าวไปอยู่กับนายจ้างคนอื่นๆที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ ทำให้เกิดปัญหาในการติดตามควบคุมแรงงานต่างด้วย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น