แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างฉุกเฉินและรุนแรงของเฟดในวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา อาจเป็นการตอกย้ำมุมมองของตลาดที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยหรือว่าได้เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้นำมาสู่การคาดการณ์ว่าเฟดคงจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วยขนาดที่ค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 โดยดีลเลอร์ชั้นนำส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปที่ร้อยละ 2.50 ภายในกลางปีนี้ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ กอปรกับนโยบายการเงินและนโยบายการคลังของทางการสหรัฐฯที่มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นอีกในระยะข้างหน้า ก็อาจนับว่าเป็นข่าวดี เพราะน่าที่จะช่วยเพิ่มโอกาสสำหรับการฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ในช่วงครึ่งปีหลัง หากการดำเนินการนโยบายทั้งหลายนั้นมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเรียกฟื้นความเชื่อมั่นโดยรวมให้คืนกลับมาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และปัญหาสินเชื่อมิได้ลุกลามไปในวงกว้างมากกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เกิดขึ้นในรอบนี้ มาจากปัญหาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพร์ม) ซึ่งอาจจะลุกลามและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯในวงกว้างซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แตกต่างกับวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อนๆ หน้าที่จำกัดขอบเขตอยู่ที่เพียงบางภาคธุรกิจของสหรัฐฯเท่านั้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคสหรัฐฯก็มีการใช้จ่ายที่เกินตัวและมีการออมในระดับต่ำอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ดังนั้น ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจประสบกับภาวะตกต่ำเรื้อรังและยาวนานจนผลักดันให้เฟดจำต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมามากกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ ก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งทำให้คงจะต้องติดตามและประเมินความคืบหน้าของสถานการณ์ความเชื่อมั่นและสัญญาณการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯเป็นระยะๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น