สัญญาณเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินจากธนาคารกลางจีนทยอยปรากฎชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจประกาศปรับขึ้นสัดส่วนเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ในช่วงเย็นวันที่ 12 มกราคม 2553 ร้อยละ 0.5 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 มกราคม 2553 อย่างไรก็ตาม การคุมเข้มด้วยเครื่องมือนโยบายการเงินดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณการคุมเข้มสภาพคล่องผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั๋วเงินคลังในการประมูลตั๋วเงินคลังช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี 2553 พร้อมกับเพิ่มระดับการดูดซับสภาพคล่องผ่านการดำเนินการผ่านตลาดเงิน
ทั้งนี้ มีการประเมินว่า การปรับสัดส่วนการดำรงเงินสำรองตามกฎหมายเพียงร้อยละ 0.5 นั้น อาจให้ผลสุทธิเป็นเพียงการลดการผ่อนคลายทางการเงินลงเท่านั้น ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่แรงส่งต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ ความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ราคาสินทรัพย์ ตลอดจนแรงกดดันเงินเฟ้อ จะยังคงเป็นโจทย์ท้าทายของธนาคารกลางจีนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ...
-
ธนาคารกลางจีนยังคงจำเป็นต้องคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องต่อไป
-
ธนาคารกลางจีนน่าที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์เป็นลำดับท้ายๆ
-
ทางการจีนไม่น่าที่จะปิดโอกาสของการขยายกรอบการเคลื่อนไหวรายวันของค่าเงินหยวน แต่จะดำเนินการอย่างระมัดระวัง
-
สัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนอาจจำกัดแนวโน้มขาขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ในระดับหนึ่ง
-
แนวโน้มเงินบาทยังคงเป็นทิศทางแข็งค่า โดยอาจอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553
จากนี้ไป คงจะต้องติดตามพัฒนาการของข้อมูลทางเศรษฐกิจ และสัญญาณการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ แม้ธนาคารกลางจีนจะดำเนินการคุมเข้มทางการเงินเพื่อชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ควบคู่ไปกับมาตรการสกัดภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จีนจะยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2553 สูงกว่าร้อยละ 9.0 ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 8.5 ในปี 2552
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น