ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 16-17 กันยายน 2558 นั้น คาดว่า เฟดมีโอกาสที่จะ ‘เริ่ม' การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 9 ปี โดยมีเหตุผลสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สำคัญ คงได้แก่ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า คณะกรรมการเฟดบางท่าน คงจะสนับสนุนให้เลื่อนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อน ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นกับตลาดการเงินทั่วโลก และแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ ด้วยภาพรวมของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเป็นไปได้ดี ขณะที่ผลกระทบจากความผันผวนในปัจจุบันน่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระดับที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้มองว่า ยังมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ยังมีอยู่ หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจริง ก็คงจะเป็นระดับที่ไม่มากนัก หรือไม่เกิน 0.25% ซึ่งเป็นขนาดการปรับขึ้น ที่ไม่น่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ในขณะที่ จุดจับตาจะอยู่ที่การส่งสัญญาณของเฟดต่อมุมมองของทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ว่า เฟดจะใช้ถ้อยคำที่ปรับลดระดับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป้าหมายในระยะข้างหน้าอย่างไร
สำหรับประเทศไทยนั้น น่าจะสามารถบริหารผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปข้างต้น ที่คงส่งผลกระทบผ่านความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายนี้ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรวัดด้านเสถียรภาพต่างๆ ของไทยยังมีความเข้มแข็ง อาทิ ระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อยู่สูงกว่าระดับหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึงประมาณ 3 เท่า อีกทั้งยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงถึงประมาณ 5% ต่อจีดีพี นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยก็มีการใช้เครื่องมือประกันความเสี่ยงค่าเงินเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการปรับขึ้นของมูลค่าหนี้ที่กู้ยืมในสกุลต่างประเทศและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้นจากอดีต
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น