ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.00-1.25% เป็น 1.25-1.50% หลังพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี ขณะที่การปรับลดขนาดงบดุลไม่ได้ส่งผลต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การส่งสัญญาณถึงมุมมองของเศรษฐกิจ และแนวโน้มระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมในระยะข้างหน้า ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เฟดน่าจะอยู่บนเส้นทางของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในปี 2561 จากปัจจัยสนับสนุนจากขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวได้ดีกว่าระดับศักยภาพ รวมทั้ง สัญญาณเชิงบวกของเงินเฟ้อที่คงทยอยกลับมาอีกครั้งหลังปัจจัยกดดันชั่วคราวหมดลง ขณะที่ ประเด็นการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจจะมีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในระดับที่จำกัด เนื่องจากคณะกรรมการเฟดคงพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากข้อมูลพัฒนาการของเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลัก แม้ว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะมีการเอนไปยังทิศทางสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Hawk) มากขึ้นกว่าคณะกรรมการเฟดชุดเดิม
สำหรับผลต่อประเทศไทย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในครั้งนี้ไม่น่าจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่อท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินของไทย ตลอดจนสร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินไทยมากนัก เนื่องจากตลาดการเงินได้รับรู้ข้อมูลที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ไปมากแล้ว อย่างไรก็ดี แนวโน้มข้างหน้าเฟดยังคงอยู่ในเส้นทางของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่อง อันคงจะทยอยสร้างแรงกดดันต่อระดับสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกในระยะต่อไป และอาจส่งผลให้ต้นทุนการเงินมีโอกาสปรับตัวขึ้นบางส่วน ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของไทยคงจะมีการปรับเปลี่ยนในจังหวะที่ล่าช้ากว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยคงรอภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีความชัดเจนมากกว่านี้ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น