ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมรอบห้าของปีนี้ ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะมีนัยสำคัญต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้คงหนีไม่พ้น ประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งอาจจะกลายเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงได้ อย่างไรดี ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง ยังคงเปิดโอกาสให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ มองไปข้างหน้า เฟดอาจจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงินโดยเฉพาะในปี 2562 ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดน่าจะปรับขึ้นเข้าใกล้กับระดับดุลยภาพ โดยเฉพาะกรณีที่คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าของตลาดที่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ อาจจะส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเป็นแบบลาดลง (Inverted yield curve) ขณะที่ เฟดอาจจะต้องปรับเปลี่ยนการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเข้าใกล้กับระดับดุลยภาพ โดยเฟดจะต้องชั่งนำหนักระหว่างปัจจัยความต่อเนื่องของการขยายตัวของเศรษฐกิจกับปัจจัยด้านความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพระยะยาว
สำหรับผลต่อประเทศไทย ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังคงอยู่ในช่วงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลให้ตลาดการเงินไทยยังคงเผชิญกับการไหลออกของเงินทุน และกดดันให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวอ่อนค่า ขณะที่การเคลื่อนไหวของค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย คงจะเผชิญกับความผันผวนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการประชุมเฟดในรอบ กันยายน 2561 ซึ่งเฟดอาจจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่าท้ายที่สุดแล้วต้นทุนทางการเงินคงมีทิศทางที่จะทยอยปรับขึ้นตามทิศทางตลาดการเงินโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการและภาคประชาชน ควรมีการเตรียมความพร้อมในเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อลดทอนผลกระทบจากการปรับขึ้นของต้นทุนทางการเงินให้มีน้อยที่สุด
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น