เศรษฐกิจสหรัฐฯ
เผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมาก จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดย IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจหดตัวถึง 5.9% ในปีนี้
ซึ่งเป็นการหดตัวที่รุนแรงเทียบเท่ากับในช่วง The Great Depression ปี 1930 ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ
หดตัวอย่างรุนแรงหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทางการสหรัฐฯ
ออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังด้วยวงเงินที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมนอกรอบถึง 2 ครั้งสู่ระดับ 0-0.25% อีกทั้งยังได้ออกมาตรการ QE
แบบไม่จำกัดวงเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบ
รวมถึงมีการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนผ่านทางธนาคารพาณิชย์ต่างๆ
เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประเมินว่าเฟดยังจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0-0.25%
สำหรับการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 28-29 เมษายนนี้
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
น่าจะยังไม่มีความจำเป็นในช่วงนี้ เนื่องจากเฟดคงรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดและภาวะเศรษฐกิจหลังจากที่ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ไปแล้ว
นอกจากนี้
การตัดสินใจยังขึ้นอยู่กับมุมมองของเฟดต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในระยะข้างหน้า หากเฟดประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะสามารถควบคุมได้ในระยะอันใกล้
และสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ตามมาได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ก็จะจำกัดในปีนี้ โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถกลับมาฟื้นตัวในระดับสูงได้ในปีหน้า
การปรับดอกเบี้ยเป็นอัตราติดลบจึงอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมและจำเป็นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว
เนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยลงเป็นอัตราติดลบจะสะท้อนมุมมองของเฟดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ว่ามีแนวโน้มไปในเชิงลบมากขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลในตลาด
และมีผลต่อเสถียรภาพในภาคการเงิน
อย่างไรก็ดี
หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อไปกว่าที่ประเมิน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ให้อ่อนแรงลงไปอีก เฟดน่าจะเลือกทำ QE เพิ่มเติมจากการประกาศวงเงินที่ไม่จำกัด
เพื่อเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ควบคู่ไปกับมาตรการทางการคลังที่อาจจะมีเพิ่มเติม
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น