ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.0-0.25% สำหรับการประชุมนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นในวันที่ 4-5 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้แรงกดดันต่อการลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นลดลง อีกทั้งเฟดมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์นโยบายการเงินและเป้าหมายในระยะยาวในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเฟดได้ส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ไปอย่างน้อยจนถึงปี 2566 ดังนั้น เฟดน่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.0-0.25% และไม่น่ามีการออกนโยบายใหม่ๆ เพิ่มเติมในการประชุมนโยบายการเงินที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน ก่อนการประชุมนโยบายการเงินเพียง 1 วัน ดังนั้น เฟดมีแนวโน้มที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในการประชุมนโยบายเงินครั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง
อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของนโยบายการคลังและการเงินในระยะข้างหน้า โดยหากไบเดนชนะการเลือกตั้งและพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา จะส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ได้โดยง่าย แนวโน้มขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งอาจหนุนให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ เร่งสูงขึ้นในระยะข้างหน้า อันจะก่อให้เกิดความท้าทายต่อการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ของเฟด อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเฟดจะยังไม่ลดระดับการผ่อนคลายทางการเงินและปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะในจังหวะเวลาช่วงต้นปีหน้า ทั้งประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในสหรัฐฯ และยุโรปเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มที่จะเกิดการแพร่ระบาดหนักขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจจะมีการฟ้องร้องกันจนทำให้การรับรองผลการเลือกตั้งล่าช้าออกไป ตลอดจนการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รอบใหม่ที่ยังไม่สามารถออกมาได้ ทั้งนี้ ในกรณีเลวร้ายที่ปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ดังกล่าวเกิดขึ้นในจังหวะเวลาพร้อมๆ กัน จะส่งผลให้แรงกดดันกลับมาอยู่ที่เฟดในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น