ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ตามเดิม และน่าจะไม่มีการประกาศใช้เครื่องมือผ่อนคลายทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 ธันวาคมนี้ อย่างไรก็ดีจุดจับตาในการประชุมเฟดรอบนี้น่าจะอยู่ที่ 2 เรื่อง คือ รายละเอียดของแนวทางสำหรับโครงการซื้อสินทรัพย์ และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชุดใหม่ของเฟด โดยคาดว่า เฟดน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของแนวทางการดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ระยะข้างหน้า (Forward Guidance) โดยเฉพาะเงื่อนไขอายุของพันธบัตรที่ซื้อและกรอบเวลาของมาตรการ QE จากเดิมที่เฟดระบุเพียงว่าจะซื้อสินทรัพย์ภายใต้วงเงินดังกล่าวต่อไป 'ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า' เท่านั้น นอกจากนี้เฟดอาจมีการปรับทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2565-2566 ตามอานิสงส์จากวัคซีน แต่จะยังคงมีมุมมองระมัดระวังต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2564
จากทิศทางดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะยังคงเห็นเฟดส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมภายในไตรมาส 1/2564 เนื่องจากความเสี่ยงจากโควิด-19 กำลังเลวร้ายลงจนทำให้หลายรัฐต้องมีการประกาศมาตรการควบคุมสถานการณ์ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงต้องรอแรงกระตุ้นจากมาตรการฝั่งการคลังที่คงจะเริ่มมีผลจริงต่อเศรษฐกิจภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ดังนั้นสำหรับผลต่อไทยที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด น่าจะอยู่ที่แรงกดดันต่อค่าเงินบาท ซึ่งมีโอกาสแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติมในปีหน้า โดยคาดว่า เงินบาทอาจทยอยแข็งค่าไปที่ระดับ 29.00-29.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายปี 2564 ท่ามกลางแรงหนุนจากปัจจัยที่อ่อนแอของเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของเฟดเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่เกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและความเป็นไปได้ที่จะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินในเอเชียและไทยต่อเนื่อง
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น