ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า รายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ยังคงอ่อนแอในไตรมาสที่ 2/2565 โดยเฉพาะรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยซึ่งถูกกดดันจากความเปราะบางของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากความผันผวนของตลาดทุนต่อพอร์ตการลงทุน ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและ NIM นั้น อาจขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยตามการเติบโตของสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ภาพในอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์มีการเข้าดูแลประเด็นคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเร่งเข้าจัดการปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งการขาย NPLs การตัดหนี้สูญ และการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ ซึ่งช่วยส่งผลทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2/2565 ทรงตัวอยู่ในกรอบใกล้เคียงกับในไตรมาส 1/2565 อย่างไรก็ดีคงต้องติดตามสัญญาณการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อในพอร์ต SMEs และรายย่อย อาทิ สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอย่างใกล้ชิด
จากภาพรวมรายได้จากการดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กำไรสุทธิของระบบ ธ.พ. ไทยในไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.61 หมื่นล้านบาท ลดลง 19.6% เมื่อเทียบกับฐานที่สูงในไตรมาสที่ 2/2564 ซึ่งมีการบันทึกรายการพิเศษกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัทย่อยของธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2565 คาดว่า แรงหนุนจากสัญญาณเศรษฐกิจจะช่วยหนุนให้มีการเบิกใช้สินเชื่อต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และน่าจะทำให้แรงกดดันต่อรายได้จากธุรกิจหลักของธนาคารพาณิชย์ในส่วนอื่นๆ คลายตัวลงบางส่วน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อของระบบธ.พ. ไทยในปี 2565 มาที่ 5.0% (กรอบคาดการณ์ใหม่ที่ 4.0-5.5%) อย่างไรก็ดีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยอาจยังไม่สะท้อนอานิสงส์จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเต็มที่ เนื่องจากสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และปัญหาของลูกหนี้อีกหลายกลุ่มที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและยังไม่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ดังนั้นคาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์เพียงบางผลิตภัณฑ์ก่อนในระยะแรก สำหรับภาพรวมของรายได้จากธุรกิจหลักในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นั้น ด้วยข้อจำกัดในการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากธุรกิจใหม่ที่ยังต้องใช้เวลา ทำให้คาดว่าภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนการกันสำรองฯ และภาษีเงินได้) ในปี 2565 จะอยู่ในกรอบ 4.01-4.03 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่กลับไปสู่ระดับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จะเข้าใกล้มากขึ้นก็ตาม
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น