ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.... คือ ภาษีที่จะมาใช้แทนกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่และภาษีโรงเรือนและที่ดิน โดยมีวัตถุประสงค์ให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน และก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ เป็นต้น ทั้งนี้ มีการประเมินว่า การบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว จะทำให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 4 ปี โดยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... ซึ่งร่างกฎหมายจะมีผลบังคับใช้วันถัดไปจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และการจัดเก็บภาษีจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 (ยกเว้นทรัพย์สินที่ใช้ทำเกษตรกรรมของบุคคลธรรมดา)
สำหรับประเด็นสำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนรายละเอียดของเพดานอัตราภาษีในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่ลดลงจากร่างกฎหมายฉบับเดิม เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านภาระภาษีให้กับผู้ครอบครองทรัพย์สิน เช่น ที่ดินที่ใช้เพื่อเกษตรกรรมลดเป็น 0.15% (จากร่างเดิมที่ 0.2%) และอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยลดเหลือ 0.3% (จากร่างเดิมที่ 0.5%) เป็นต้น อีกทั้งจะมีการจัดเก็บอัตราภาษีเป็นขั้นบันไดจำแนกตามมูลค่าทรัพย์สินในแต่ละประเภท โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริง จะต่ำกว่าเพดานอัตราภาษีที่กำหนดในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... ซึ่งยังคงต้องรอการประกาศพระราชกฤษฎีกา และรายละเอียดการประเมินทรัพย์สินต่างๆ ตามเงื่อนไขของกฎกระทรวงด้วย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ ทางการมุ่งหวังสร้างผลดีต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ผลจากการเปลี่ยนการคำนวณภาษีจากฐานรายได้มาเป็นฐานทรัพย์สิน อาจจะสร้างความท้าทายโดยเฉพาะต่อผู้ครอบครองทรัพย์สินมากแต่มีรายได้น้อยที่อาจจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจเป็นแรงกดดันให้ผู้ครอบครองทรัพย์สินแต่มีศักยภาพจำกัดในการพัฒนา ต้องขายทรัพย์สินในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญหลากประเด็นท้าทาย ทั้งกำลังซื้อครัวเรือน ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ผลจากมาตรการ LTV เป็นต้น
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น