การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ยังคงเป็นที่จับตาของทั่วโลก โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างผู้นำของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับจีน เพื่อนำไปสู่บทสรุปของสงครามการค้าที่เกิดขึ้นมาเกือบครบรอบ 1 ปี ในเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ เมื่อย้อนมองสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมาเชื่อว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างก็รู้ว่าสงครามการค้าที่ยืดเยื้อไม่ส่งผลดีต่อทั้งคู่ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วคือราคาสินค้านำเข้าจากคู่กรณีต่างปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลลบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต แต่ด้วยจุดยืนที่ผู้นำทั้งสองประเทศแบกรับจึงทำให้การจะยุติเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมือง และการรักษาคะแนนนิยมจากประชาชนเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ด้วยภาระหน้าที่ผู้นำทั้งสหรัฐฯ และจีนต้องแบกรับ ทำให้การประชุม G20 ในครั้งนี้คงจะมีความท้าทายอย่างมากในการหาสมดุลเพื่อนำไปสู่บทสรุปของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้ในทันที แต่การประชุมนี้จะเป็นการชะลอเวลาของการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกันให้เลื่อนออกไป ซึ่งในท้ายที่สุดแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะรู้ถึงผลกระทบเชิงลบที่ตามมาจากการยกระดับแรงกดดันทางการค้าระหว่างกัน แต่ถ้าการเจรจาคืบหน้าล่าช้า ประกอบกับบทบาทในฐานะผู้นำประเทศ สหรัฐฯ คงจำเป็นต้องเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี 2562 ในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมือนการเก็บภาษีสินค้าจีนในรอบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ผลของสงครามการค้าที่มีต่อการส่งออกของไทยทั้งที่ส่งไปจีนและที่ผลกระทบที่ส่งผ่านมาทางคู่ค้าไทยในอาเซียนน่าจะยังคงอยู่ในกรอบที่ 2,100 – 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะขยับขึ้นสู่กรอบบนของประมาณการก็ต่อเมื่อสหรัฐฯ เริ่มใช้แผนการเก็บภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าจีนรอบที่เหลืออีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมเพิ่มเติมที่ไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผ่านแรงกดดันสู่กำลังซื้อของตลาดส่งออกอื่นๆ ของไทย ยิ่งจะซ้ำเติมการส่งออกในภาพรวมของไทยขึ้นอีกและผลกระทบทั้งหมดอาจลากยาวและร้อนแรงต่อเนื่องไปยังในปี 2563
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น