ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีตามที่ตลาดคาด ไปที่กรอบ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 30-31 ก.ค. 2562 อย่างไรก็ดี ยังไม่ปรากฎสัญญาณใดๆ จากถ้อยแถลงของประธานเฟด ที่บ่งชี้ถึงโอกาสของการปรับลดดอกเบี้ยรอบต่อไป ซึ่งผลการประชุมเฟดล่าสุดนี้ สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนและตลาดการเงินทั่วโลกที่รอคอยและคาดหวังว่าจะเห็นท่าทีที่ผ่อนคลายมากกว่านี้จากเฟด ขณะที่ เงินบาทอ่อนค่าลงกลับมาที่ระดับประมาณ 30.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ 1 ส.ค. 2562)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า เฟดต้องการที่จะส่งสัญญาณเพื่อให้ตลาดรับรู้ว่า การตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในรอบนี้ เป็นเพียงการดำเนินการเพื่อสกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น และเฟดไม่ต้องการให้กระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เกิดขึ้นมากจนเกินไป นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ ยังสะท้อนถึง “บทบาทสำคัญของเครื่องมือนโยบายการเงินของเฟด" โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการทำหน้าที่ช่วยประคองทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแรงกระตุ้นจากฝั่งเครื่องมือทางการคลังของทำเนียบขาวกำลังเผชิญกับหลายข้อจำกัด นอกจากนี้ คงต้องยอมรับว่า ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าท่ามกลางสถานการณ์ที่ยืดเยื้อข้ามปีของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังมีผลกระทบย้อนกลับมายังต้นทุนการผลิต/กำไรและผลประกอบการของภาคธุรกิจ ซึ่งก็จะมีผลต่อการจัดเก็บรายได้และฐานะการคลังของสหรัฐฯ เป็นระลอกในระยะถัดไป
สำหรับแนวโน้มในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอีกเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะที่เหลือของปีนี้ และ/หรือในช่วงปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว และยังต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงสถานการณ์ BREXIT ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าว จะยังคงส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ฯ และเงินบาทในระยะข้างหน้า และสำหรับทิศทางดอกเบี้ยของไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธปท. น่าที่จะให้น้ำหนักกับปัจจัยในประเทศในการตัดสินใจเรื่องทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย มากกว่าทิศทาง/แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในช่วงข้างหน้า
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น