สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในแง่ของมูลค่าสินค้าที่เรียกจัดเก็บและระดับความรุนแรงของอัตราภาษีนำเข้า อาจทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกไทยในปี 2562 เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นมาแตะมูลค่าใกล้เคียง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจในจีนที่อยู่ในขั้นปลายน้ำของห่วงโซ่การผลิต แต่มีฐานการผลิตกระจายอยู่ในประเทศอื่นๆ นับได้ว่าเป็นธุรกิจกลุ่มแรกที่เริ่มทยอยกระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า โดยส่วนมากเป็นการกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความพร้อมในแง่ของผู้รับจ้างผลิตสินค้าหรือประเทศที่บริษัทแม่มีการกระจายฐานการลงทุนไปก่อนหน้า ทั้งนี้ จากการติดตามข่าวสารถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2562 พบว่า บรรษัทที่อยู่ในจีนบางส่วนกว่า 50 บริษัทได้กระจายหรือให้ความสนใจกระจายการลงทุนบ้างแล้ว โดยจากการประเมินเบื้องต้น เม็ดเงินลงทุนโดยตรงในส่วนนี้คิดเป็นมูลค่าขั้นต่ำราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเวียดนามนับได้ว่าเป็นผู้ได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้ามากที่สุด ขณะที่ไทยได้อานิสงส์ของการกระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของนักลงทุนญี่ปุ่นและไต้หวันที่มีฐานการผลิตสินค้าประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียง
มองไปข้างหน้า สงครามการค้าที่มีทีท่ายืดเยื้อ คงทำให้ธุรกิจที่มีฐานการผลิตหลักอยู่ในจีนและไม่ได้มีฐานการผลิตอื่นที่สำคัญอยู่ในภูมิภาค จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการกระจายการลงทุนออกจากจีนในระลอกถัดไป ซึ่งอาจมีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ในกรอบ 30,000 – 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระยะเวลาภายใน 2-3 ปีนับจากนี้
ส่วนนัยสำหรับไทยนั้น สัดส่วนของเม็ดเงินการลงทุนที่ไทยคาดว่าจะได้รับในระลอกใหม่อาจอยู่ในระดับที่จำกัดเมื่อเทียบกับระลอกแรก อันเนื่องมาจากการที่สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีรอบสุดท้าย ส่วนมากจะเป็นการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคขั้นปลายน้ำที่ยังต้องพึ่งพาการใช้แรงงานเข้มข้น อย่างไรก็ดี ไทยอาจได้รับอานิสงส์การกระจายการลงทุนระลอกนี้อยู่บ้างในสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและของเล่นที่ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างดี
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น