สถานการณ์ล่าสุดที่สหรัฐฯ ยุติสิทธิพิเศษกับฮ่องกงเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 เป็นอีกชนวนกระตุ้นสงครามการค้ากับจีนให้กลับมาร้อนแรงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปีนี้สหรัฐฯ ยังคงนำประเด็นอ่อนไหวของจีน มาใช้เป็นเครื่องมือกดดันจีนผ่านความตกลงทางการค้าเฟส 1 (Phase 1) ประกอบกับเงื่อนเวลาการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามายิ่งทำให้ทุกเรื่องผูกโยงกันอย่างซับซ้อน ทำให้สงครามการค้าครั้งนี้คงจะยืดเยื้อและไม่น่าจะเกิดความตกลงในเฟส 2 (Phase 2) ได้ ถึงแม้การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะได้บทสรุปเป็นผู้นำคนใหม่ แต่การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในด้านภูมิรัฐศาสตร์จะคงมีอยู่ต่อไป และคงไม่ทำให้สงครามการค้าสงบได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่สงครามการค้าของสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้น ในด้านหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้ากับจีนได้ตามที่ต้องการ เมื่อมองย้อนมาที่ไทยทำให้การค้าของไทยในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องเสียประโยชน์สุทธิ 1.1 พันล้านดอลลาร์ฯ แม้ว่าสินค้าไทยส่วนหนึ่งจะได้อานิสงส์จากการส่งไปแทนที่สินค้าของคู่กรณีทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่ก็ไม่มากพอที่จะชดเชยผลกระทบหลักๆ ที่ทำให้การส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่ของจีนปรับตัวลดลง รวมกับการที่ไทยต้องสูญเสียพื้นที่ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านไปจากการเข้ามาของสินค้าจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2563 นี้ผลพวงที่มาจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มเบาบางลงนับตั้งแต่เกิดความตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในเฟส 1 แต่หากสหรัฐฯ ยังคงใช้ฮ่องกงมาเป็นประเด็นใหม่เปิดเกมเดินหน้ากดดันทำสงครามการค้ากับจีนต่อไปคงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยมากขึ้นอีก จากปัจจุบันที่การส่งออกของไทยก็ได้รับผลกระทบหลักๆ มาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีความเสี่ยงจะเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 ในช่วงฤดูหนาว ยิ่งกดดันการค้าโลกมากขึ้นด้วยสาเหตุเหล่านี้คาดว่าการส่งออกของไทยปี 2563 ไปตลาดสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ (-) 2.7 มีมูลค่าการส่งออกราว 30,500 ล้านดอลลาร์ฯ (กรอบประมาณการที่หดตัวร้อยละ (-) 4.9 ถึงขยายตัวร้อยละ 1.0 ที่มูลค่าการส่งออก 29,800-31,600 ล้านดอลลาร์ฯ) และการส่งออกไปจีนน่าจะฟื้นตัวได้ก่อนตลาดอื่นๆ แต่กำลังการผลิตยังไม่กลับมาเต็มที่จึงขยายตัวอย่างจำกัดที่ร้อยละ 3.2 มีมูลค่าการส่งออก 30,100 ล้านดอลลาร์ฯ (กรอบประมาณการที่ขยายตัวร้อยละ 2.0 ถึงขยายตัวร้อยละ 4.2 มีมูลค่าการส่งออก 29,700-30,400 ล้านดอลลาร์ฯ)
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น