การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงไม่ได้บทสรุปที่พึงพอใจแก่ทั้งสองฝ่าย อีกทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า จะเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นร้อยละ 25 จากที่ร้อยละ 10 ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคมนี้ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาพทางการค้าโลก ซึ่งการขึ้นภาษีครั้งนี้สะท้อนแรงกดดันที่สหรัฐฯ ต้องการเร่งให้จีนเจรจาตามแนวทางที่คาดหมายไว้ เพื่อนำไปสู่บทสรุปที่พึงใจแก่ทั้งสองฝ่ายจนสามารถยุติสงครามการค้านี้ได้ภายในสิ้นปี 2562
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งกดดันให้จีนต้องรับศึกหนักทางด้านเศรษฐกิจและทำให้การค้าโลกรวมถึงการค้าไทยยิ่งเปราะบาง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเป็นร้อยละ 25 กับสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นให้จีนเร่งเจรจาตามแนวทางที่สหรัฐฯ วางไว้ เมื่อรวมกับผลการเก็บภาษีรอบต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่ปี 2561 จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยคิดเป็นมูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีเลวร้ายในการเก็บภาษีสินค้ากลุ่มที่เหลืออีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากสหรัฐฯ เร่งรัดกดดันจีนในประเด็นด้านการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของจีนที่ยากจะเป็นไปได้ อันเป็นชนวนทำให้สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีกลุ่มสุดท้ายในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเป็นมูลค่า 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยผลกระทบทั้ง 2 กรณี ข้างต้นส่งผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มเติมที่ร้อยละ 0.2 ถึงร้อยละ 0.6 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งปี 2562 ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประมาณการส่งออกของไทยตลอดปี 2562 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 (ณ เดือนเมษายน) ภายใต้สมมติฐานในกรณีที่สหรัฐฯ คงภาษีไว้ที่ร้อยละ 10 กับสินค้าจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยคิดเป็นมูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีเป็นร้อยละ 25 กับกลุ่มสินค้าจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยรวมเป็นมูลค่าราว 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจกดดันให้การส่งออกของไทยเติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 (กรอบประมาณการผลกระทบจากสงครามการค้าอยู่ระหว่าง 1,600-3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น